23.3.55

เรื่องหลังบ้าน

เสียงเครื่องดูดฝุ่นแม่บ้านประจำสำนักงานยังคงดังกระหึ่มอย่างต่อเนื่อง ฉันเปิดประตูห้องทำงานออกมาพบกับใบหน้าคุ้นเคยที่เห็นกันเวลาเดิมทุกวัน

“กลับแล้วหรือคะคุณ” แม่บ้านในชุดเครื่องแบบสีเขียวหันมายิ้มให้ฉัน รอยยิ้มเป็นกันเองเหมือนเคย

“ค่ะ วันนี้กลับเร็วหน่อย พอดีมีธุระ” ฉันตอบ เมื่อเห็นท่าทางคล้ายสงสัย

“วันนี้เงี๊ยบ เงียบจังค่ะ คนกลับบ้านเร็วกันหมด เหลืออยู่บนนี้ไม่กี่คน” เธอพยายามชวนคุย

ฉันปิดประตูลงสนิท ก่อนจะยิ้มอย่างเห็นด้วย “วันศุกร์ต้นเดือนก็อย่างนี้...”

“แล้ว...เสาร์อาทิตย์นี้ไปเที่ยวไหนหรือเปล่าคะ” ฉันถามเมื่อเห็นท่าทางเธอยังตั้งใจจะสนทนา

“โอย ไปไม่ได้หรอกค่ะ ที่บ้านกำลังวุ่นวาย...” เธออึกอัก คล้ายกำลังลังเลที่จะเล่าบางอย่าง

“แถวบ้านกำลังมีเรื่อง...ดีไม่ดีต้องถึงขั้นขึ้นโรงขึ้นศาล หนูละกลัวจริงเชียว” ท่าทางประหวั่นพรั่นพรึงไม่น้อย

ฉันชะงักฝีเท้า “มีเรื่องอะไรกันหรือคะ”

เธอยิ่งดูมีท่าทางลังเลมากกว่าเดิม “คุณจะฟังได้หรือคะ...หนูเดือดร้อนจริงๆ แต่เห็นว่าคุณกำลังจะกลับบ้าน...”

“ไม่เป็นไร เล่ามาเถอะค่ะ มีอะไรปรึกษาได้”

ฉันลากเก้าอี้แถวนั้นมานั่ง วางสัมภาระทุกอย่างลง หันไปหาเธอเพื่อแสดงให้รู้ว่ากำลังพร้อมตั้งใจฟัง

แม่บ้านร่างเล็กลากเครื่องดูดฝุ่นมาหยุดอยู่ใกล้ ก่อนจะเริ่มเรื่องอย่างสับสนเล็กน้อย

“คืออย่างนี้ค่ะ...หลังบ้านหนูมีแม่ค้าอยู่ครอบครัวหนึ่ง บ้านแกขายส้มตำ แกปลูกต้นมะละกอไว้หลังบ้านติดกับรั้วบ้านหนู รั้วบ้านสูงท่วมหัวแค่นี้เองค่ะ” เธอทำไม้ทำมือประกอบ “ทีนี้ต้นมะละกอ พอมันสูงขึ้นๆ มันก็โตข้ามรั้วยื่นเข้ามาทางฝั่งบ้านหนู”

“เวลาแกอยากได้มะละกอ แกก็ให้ลูกสาวมาสอยเอา ได้มั่งไม่ได้มั่ง บางทีสอยแล้วร่วงลงฝั่งบ้านหนู แกก็ให้หลานชายแอบปีนข้ามรั้วมาเก็บ หนูเห็นบ่อยๆ ก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่หนูก็ไม่ค่อยชอบใจหรอก”

“ทีนี้ทางบ้านหนูเนี่ยอยู่กันสองคนแม่ลูก แม่หนูเขาปลูกต้นขนุนไว้หลังบ้าน วันที่เกิดเรื่องหนูไม่อยู่ ออกมาทำงาน...” เธอหยุดพักหายใจก่อนจะพูดต่อ “...แม่เขาอยากกินขนุน รอมาหลายวัน พอเห็นลูกมันโตได้ที่ แกก็เอาไม้ไปสอยๆ เอา”

“คนแก่น่ะค่ะคุณ สอยอีท่าไหนไม่รู้ ปรากฏว่าพลาด ลูกขนุนดันหล่นโครมไปลงบ้านโน้น” ส่ายหน้าอย่างอิดหนาระอาใจ
“ทีนี้ใครจะไปรู้ล่ะคะว่าเขาดันเอารถส้มตำมาจอดไว้หลังบ้านตรงนั้นพอดี๊พอดี แม่หนูเขาตกใจแทบตาย ได้ยินเสียงลูกขนุนหล่นโพละไปลงรถเข็นส้มตำของเขา ทำกระจก ครก สากอะไรต่อมิอะไรของเขาพังกระจัดกระจายหมด รถเข็นส้มตำของเขาเนี่ยพังยับเยินไปเลยแหละ”

“ยายป้าหลังบ้านออกมาโวยวายใหญ่ หาว่าแม่หนูงี่เง่า ไม่รู้จักระมัดระวัง แกว่าแกมีญาติเป็นตำรวจด้วย เดี๋ยวจะไปแจ้งความเอาแม่หนูเข้าคุก”

“หา!!??” ฉันตกใจ

“จริงๆ ค่ะ” เธอพยักหน้ายืนยัน “หลังจากวันนั้นแกก็คอยหาอะไรขว้างมาทางฝั่งบ้านหนูเรื่อย เดี๋ยวก็ขวดน้ำอัดลม เดี๋ยวก็เศษอาหาร จริงๆ หนูก็ว่าจะใช้ค่ารถเข็นให้แกน่ะแหละ แต่พอแกทำอย่างนี้หนูก็เลยไม่จ่าย เรื่องอะไร แกก็เลยว่าจะไปแจ้งความตำรวจ จะเอาแม่หนูเข้าคุกถ้าหนูไม่จ่าย นี่มีเรื่องกันมาจะครบอาทิตย์แล้ว”

“เขาบอกหรือเปล่าคะ ว่าเขาจะแจ้งความข้อหาอะไร” ฉันถาม

“ได้ยินเขาว่าอะไรทรัพย์ๆ” เธอหยุดคิด “ทำให้เขาเสียทรัพย์ หรืออะไรนี่แหละค่ะ”

“งั้นหรือคะ” ฉันยิ้มขำ

“คืออย่างนี้ค่ะ” ฉันตั้งท่าอธิบาย “ ในทางกฎหมายอาญาบอกว่า บุคคลจะต้องรับผิดก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา เว้นแต่ว่าเราจะได้กระทำโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท หรือในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ผู้กระทำต้องรับผิดแม้ได้กระทำโดยไม่เจตนา”

“กรณีนี้แม่เราเจตนาแกล้งเขาหรือเปล่าล่ะคะ” ฉันถามต่อ เมื่อเห็นสีหน้าสงสัย

“อูยยย ใครจะไปแกล้งคะคุณ คนแบบนั้นไม่มีใครอยากยุ่งด้วยหรอก ตอนลูกขนุนหล่นพลัวะลงไป แม่หนูยังตกใจแทบจะเป็นลม” เธอว่า

“สิ่งสำคัญก็คือ ความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ผู้กระทำจะต้องมีเจตนา” ฉันย้ำอีกครั้ง “กรณีนี้เมื่อแม่เราไม่ได้มีเจตนา และนอกจากนี้ยังไม่มีประมวลกฎหมายอาญามาตราใดที่บัญญัติให้การทำให้เสียทรัพย์โดยประมาทเป็นความผิด ดังนั้นถึงแม้ป้าหลังบ้านจะไปแจ้งความ ตำรวจก็จะมาเอาผิดอะไรกับแม่เราไม่ได้”

“แปลว่าแม่หนูจะไม่ติดคุกหรือคะ” เธอถาม สีหน้าดูมีความหวัง

“การกระทำให้เสียทรัพย์โดยประมาท ประมวลกฎหมายอาญาไม่ได้บัญญัติไว้เป็นความผิดค่ะ” ฉันตอบซ้ำ “ถ้าเขาอยากจะแจ้งความเพื่อความสบายใจก็ปล่อยเขาไป ที่สำคัญคือ เราน่าจะหาทางชดใช้ค่าเสียหายให้เขามากกว่า เพราะถ้าเราไม่ใช้ เขายังอาจนำไปฟ้องเป็นคดีแพ่งเรียกค่าเสียหายฐานละเมิดจากเราได้”

ฉันลุกขึ้น ลงมือรวบรวมข้าวของเตรียมตัวกลับบ้านอีกครั้ง

“ขอบคุณมากนะคะ” เธอเริ่มยิ้มออก “หนูจะใช้ค่าเสียหายให้เขาแน่ล่ะค่ะ ถ้าเขาเลิกขว้างเศษขยะข้ามมาบ้านหนูซะที”

“แต่ยังขืนราวีไม่เลิก ทีนี้ละ หนูจะเขวี้ยงลูกขนุนใส่กระจกบ้านมันจริงๆ”

ไม่มีความคิดเห็น: