23.3.55

เรื่องหลังบ้าน

เสียงเครื่องดูดฝุ่นแม่บ้านประจำสำนักงานยังคงดังกระหึ่มอย่างต่อเนื่อง ฉันเปิดประตูห้องทำงานออกมาพบกับใบหน้าคุ้นเคยที่เห็นกันเวลาเดิมทุกวัน

“กลับแล้วหรือคะคุณ” แม่บ้านในชุดเครื่องแบบสีเขียวหันมายิ้มให้ฉัน รอยยิ้มเป็นกันเองเหมือนเคย

“ค่ะ วันนี้กลับเร็วหน่อย พอดีมีธุระ” ฉันตอบ เมื่อเห็นท่าทางคล้ายสงสัย

“วันนี้เงี๊ยบ เงียบจังค่ะ คนกลับบ้านเร็วกันหมด เหลืออยู่บนนี้ไม่กี่คน” เธอพยายามชวนคุย

ฉันปิดประตูลงสนิท ก่อนจะยิ้มอย่างเห็นด้วย “วันศุกร์ต้นเดือนก็อย่างนี้...”

“แล้ว...เสาร์อาทิตย์นี้ไปเที่ยวไหนหรือเปล่าคะ” ฉันถามเมื่อเห็นท่าทางเธอยังตั้งใจจะสนทนา

“โอย ไปไม่ได้หรอกค่ะ ที่บ้านกำลังวุ่นวาย...” เธออึกอัก คล้ายกำลังลังเลที่จะเล่าบางอย่าง

“แถวบ้านกำลังมีเรื่อง...ดีไม่ดีต้องถึงขั้นขึ้นโรงขึ้นศาล หนูละกลัวจริงเชียว” ท่าทางประหวั่นพรั่นพรึงไม่น้อย

ฉันชะงักฝีเท้า “มีเรื่องอะไรกันหรือคะ”

เธอยิ่งดูมีท่าทางลังเลมากกว่าเดิม “คุณจะฟังได้หรือคะ...หนูเดือดร้อนจริงๆ แต่เห็นว่าคุณกำลังจะกลับบ้าน...”

“ไม่เป็นไร เล่ามาเถอะค่ะ มีอะไรปรึกษาได้”

ฉันลากเก้าอี้แถวนั้นมานั่ง วางสัมภาระทุกอย่างลง หันไปหาเธอเพื่อแสดงให้รู้ว่ากำลังพร้อมตั้งใจฟัง

แม่บ้านร่างเล็กลากเครื่องดูดฝุ่นมาหยุดอยู่ใกล้ ก่อนจะเริ่มเรื่องอย่างสับสนเล็กน้อย

“คืออย่างนี้ค่ะ...หลังบ้านหนูมีแม่ค้าอยู่ครอบครัวหนึ่ง บ้านแกขายส้มตำ แกปลูกต้นมะละกอไว้หลังบ้านติดกับรั้วบ้านหนู รั้วบ้านสูงท่วมหัวแค่นี้เองค่ะ” เธอทำไม้ทำมือประกอบ “ทีนี้ต้นมะละกอ พอมันสูงขึ้นๆ มันก็โตข้ามรั้วยื่นเข้ามาทางฝั่งบ้านหนู”

“เวลาแกอยากได้มะละกอ แกก็ให้ลูกสาวมาสอยเอา ได้มั่งไม่ได้มั่ง บางทีสอยแล้วร่วงลงฝั่งบ้านหนู แกก็ให้หลานชายแอบปีนข้ามรั้วมาเก็บ หนูเห็นบ่อยๆ ก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่หนูก็ไม่ค่อยชอบใจหรอก”

“ทีนี้ทางบ้านหนูเนี่ยอยู่กันสองคนแม่ลูก แม่หนูเขาปลูกต้นขนุนไว้หลังบ้าน วันที่เกิดเรื่องหนูไม่อยู่ ออกมาทำงาน...” เธอหยุดพักหายใจก่อนจะพูดต่อ “...แม่เขาอยากกินขนุน รอมาหลายวัน พอเห็นลูกมันโตได้ที่ แกก็เอาไม้ไปสอยๆ เอา”

“คนแก่น่ะค่ะคุณ สอยอีท่าไหนไม่รู้ ปรากฏว่าพลาด ลูกขนุนดันหล่นโครมไปลงบ้านโน้น” ส่ายหน้าอย่างอิดหนาระอาใจ
“ทีนี้ใครจะไปรู้ล่ะคะว่าเขาดันเอารถส้มตำมาจอดไว้หลังบ้านตรงนั้นพอดี๊พอดี แม่หนูเขาตกใจแทบตาย ได้ยินเสียงลูกขนุนหล่นโพละไปลงรถเข็นส้มตำของเขา ทำกระจก ครก สากอะไรต่อมิอะไรของเขาพังกระจัดกระจายหมด รถเข็นส้มตำของเขาเนี่ยพังยับเยินไปเลยแหละ”

“ยายป้าหลังบ้านออกมาโวยวายใหญ่ หาว่าแม่หนูงี่เง่า ไม่รู้จักระมัดระวัง แกว่าแกมีญาติเป็นตำรวจด้วย เดี๋ยวจะไปแจ้งความเอาแม่หนูเข้าคุก”

“หา!!??” ฉันตกใจ

“จริงๆ ค่ะ” เธอพยักหน้ายืนยัน “หลังจากวันนั้นแกก็คอยหาอะไรขว้างมาทางฝั่งบ้านหนูเรื่อย เดี๋ยวก็ขวดน้ำอัดลม เดี๋ยวก็เศษอาหาร จริงๆ หนูก็ว่าจะใช้ค่ารถเข็นให้แกน่ะแหละ แต่พอแกทำอย่างนี้หนูก็เลยไม่จ่าย เรื่องอะไร แกก็เลยว่าจะไปแจ้งความตำรวจ จะเอาแม่หนูเข้าคุกถ้าหนูไม่จ่าย นี่มีเรื่องกันมาจะครบอาทิตย์แล้ว”

“เขาบอกหรือเปล่าคะ ว่าเขาจะแจ้งความข้อหาอะไร” ฉันถาม

“ได้ยินเขาว่าอะไรทรัพย์ๆ” เธอหยุดคิด “ทำให้เขาเสียทรัพย์ หรืออะไรนี่แหละค่ะ”

“งั้นหรือคะ” ฉันยิ้มขำ

“คืออย่างนี้ค่ะ” ฉันตั้งท่าอธิบาย “ ในทางกฎหมายอาญาบอกว่า บุคคลจะต้องรับผิดก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา เว้นแต่ว่าเราจะได้กระทำโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท หรือในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ผู้กระทำต้องรับผิดแม้ได้กระทำโดยไม่เจตนา”

“กรณีนี้แม่เราเจตนาแกล้งเขาหรือเปล่าล่ะคะ” ฉันถามต่อ เมื่อเห็นสีหน้าสงสัย

“อูยยย ใครจะไปแกล้งคะคุณ คนแบบนั้นไม่มีใครอยากยุ่งด้วยหรอก ตอนลูกขนุนหล่นพลัวะลงไป แม่หนูยังตกใจแทบจะเป็นลม” เธอว่า

“สิ่งสำคัญก็คือ ความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ผู้กระทำจะต้องมีเจตนา” ฉันย้ำอีกครั้ง “กรณีนี้เมื่อแม่เราไม่ได้มีเจตนา และนอกจากนี้ยังไม่มีประมวลกฎหมายอาญามาตราใดที่บัญญัติให้การทำให้เสียทรัพย์โดยประมาทเป็นความผิด ดังนั้นถึงแม้ป้าหลังบ้านจะไปแจ้งความ ตำรวจก็จะมาเอาผิดอะไรกับแม่เราไม่ได้”

“แปลว่าแม่หนูจะไม่ติดคุกหรือคะ” เธอถาม สีหน้าดูมีความหวัง

“การกระทำให้เสียทรัพย์โดยประมาท ประมวลกฎหมายอาญาไม่ได้บัญญัติไว้เป็นความผิดค่ะ” ฉันตอบซ้ำ “ถ้าเขาอยากจะแจ้งความเพื่อความสบายใจก็ปล่อยเขาไป ที่สำคัญคือ เราน่าจะหาทางชดใช้ค่าเสียหายให้เขามากกว่า เพราะถ้าเราไม่ใช้ เขายังอาจนำไปฟ้องเป็นคดีแพ่งเรียกค่าเสียหายฐานละเมิดจากเราได้”

ฉันลุกขึ้น ลงมือรวบรวมข้าวของเตรียมตัวกลับบ้านอีกครั้ง

“ขอบคุณมากนะคะ” เธอเริ่มยิ้มออก “หนูจะใช้ค่าเสียหายให้เขาแน่ล่ะค่ะ ถ้าเขาเลิกขว้างเศษขยะข้ามมาบ้านหนูซะที”

“แต่ยังขืนราวีไม่เลิก ทีนี้ละ หนูจะเขวี้ยงลูกขนุนใส่กระจกบ้านมันจริงๆ”

20.3.55

หมา แมว วัว

รถเก๋งสีเทาคลานเข้าซอยแคบช้าๆ กระทั่งมาหยุดสนิทอยู่หน้าประตูรั้วเหล็กสีดำด้าน

ฉันบิดกุญแจ ดับเครื่อง และก้าวลงจากรถด้วยความรู้สึกไม่ค่อยมั่นใจ นอกจากกระเป๋าถือแบบผู้หญิงใบใหญ่ ในมือยังมีเศษกระดาษแผ่นเล็กและกระเป๋าใส่พวงกุญแจขนาดย่อมที่ให้ความรู้สึกไม่คุ้นเคยอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในเวลาแบบนี้

ทันทีที่ฝีเท้าหยุดลง เสียงสุนัขเห่าขรมมาจากในรั้วบ้าน เจ้าตัวยุ่งวิ่งรี่เข้ามาหาท่าทางดีอกดีใจแทบจะมุดรั้วออกมาเสียให้ได้ ระหว่างที่ไขแม่กุญแจอันใหญ่ฉันจึงต้องส่งเสียงปรามไปด้วย

“ลีโอ ลีโอ ไม่ต้องเห่า จำกันไม่ได้หรือไง”

ทันทีที่ประตูเปิด ฉันหอบข้าวของพะรุงพะรังวิ่งตัวปลิวหลบลีโอที่พยายามกระโจนทักทายก่อนจะไขกุญแจดอกเล็กเข้าไปในตัวบ้านได้อย่างหวุดหวิด เมื่อแน่ใจว่าปลอดภัยจึงหันมาปิดประตูกระจกตามหลัง เห็นเจ้าหมาน้อยนั่งทำตาปะหลับปะเหลือกอยู่หน้าบ้านแสดงอาการผิดหวังที่กระทำการไม่สำเร็จ

“เอาน่า ไม่ต้องทำหน้าเซ็ง เดี๋ยวเอาข้าวให้กิน” ฉันปลอบ ถึงรู้ว่ามันไม่ได้ยินก็ตาม

ทาวน์โฮมสามชั้นแบบสมัยใหม่ตกแต่งอย่างธรรมดา ชั้นล่างมีเพียงห้องรับประทานอาหารขนาดเล็กที่ผนังด้านหลังทำเป็นชั้นหนังสือ และห้องรับแขกที่มีโซฟาหนึ่งตัว กับห้องครัวที่มีแต่ไม่โครเวฟเครื่องเดียวตั้งโดดเดี่ยวอยู่บนเคาน์เตอร์หินอ่อนสีดำ ทั้งหมดเป็นภาพเดิมๆ ที่ฉันเคยชินและคุ้นตา แต่ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่รู้สึกว่าบ้านหลังเล็กช่างมีรายละเอียดปลีกย่อยมากมายขนาดนี้

แน่นอน เป็นไปได้อย่างที่สุด ...การอยู่คนเดียวในบ้านคนอื่นทำให้ฉันประหม่า

ฉันวางข้าวของทั้งหมดลงบนโต๊ะกระจกใส หย่อนตัวลงบนโซฟา ปลายนิ้วหยิบกระดาษใบเล็กที่พิมพ์จากต้นฉบับอีเมลเมื่อ
เช้าคลี่ออกอ่านซ้ำอีกครั้ง

From: api@bkklaw.co.th
To: chapter365@gmail.com
Date: Today
Subject: Need your help!
สวัสดีคนเก่ง
ขอโทษที่ต้องรบกวนคุณทางไกล คิดว่าคงลืมบอกคุณไปว่าเดือนนี้ผมลาพักร้อนสองอาทิตย์ : - )
ระหว่างนี้ผมเป็นห่วงลีโอ กลัวจะอดตาย เลยฝากกุญแจบ้านไว้ที่หน้าเคาน์เตอร์
ถ้าคุณพอมีเวลา ช่วยแวะเอาข้าวไปให้ลีโอหน่อยนะ
(อ้อ แล้วอย่าลืมว่า นอกจากลีโอแล้ว หลังบ้านผมยังมีแมวแม่ลูกอ่อนหลงมาอีกสี่ตัว อาหารแมวอยู่ที่เดียวกับอาหารหมา)
หวังว่าคุณจะจัดการทั้งหมดให้เรียบร้อย
ขอบคุณมาก แล้วผมจะเที่ยวเผื่อคุณ : - D

... ใจร้ายอย่างเหลือเชื่อ...

ฉันพับกระดาษทั้งใบทบเป็นหลายชั้นเก็บใส่กระเป๋าด้วยอารมณ์ที่บอกไม่ถูก

ภาชนะบรรจุอาหารสัตว์แบบสำเร็จรูปตั้งอยู่ไม่ไกล เพียงขยับตัวไม่กี่ก้าวก็สามารถเอื้อมเปิดฝาพลาสติกสีเทาออกด้วยความรู้สึกสงสัยและแปลกใจนิดหน่อย ไม่อยากเชื่อว่า ผู้ชายตัวคนเดียวที่ดูยุ่งตลอดเวลาจะสามารถดูแลชีวิตน้อยๆ ทั้งห้าให้อยู่ในบ้านได้อย่างปกติสุข

และเมื่อเปิดฝาขึ้น ฉันก็ต้องพบกับความแปลกใจอีกครั้ง

ในกล่องมีกระดาษใบเล็ก จ่าหน้าด้วยลายมือคุ้นเคย ระบุข้อความถึงฉัน วินาทีนั้นจึงรีบแกะออกอ่านด้วยความงุนงง

“สวัสดี
ผมรู้อยู่แล้วว่าคุณต้องมา
เพื่อตอบแทนความใจดีของคุณ (ที่มีให้กับลีโอและแมวอีกสี่ตัวที่ผมยังไม่ได้ตั้งชื่อ) ผมเลยหาปัญหากฎหมายมาให้คุณฝึกสมองเล่นๆ หนึ่งข้อ ลองทำดูนะ”

ฉันมึนงงไปหลายนาทีกับสิ่งที่เขาทิ้งไว้ ...กระดาษหนึ่งแผ่นในกล่องใส่อาหารสัตว์ กับคำถามกฎหมายที่ฟังดูคล้ายปัญหาเชาว์อีกหนึ่งข้อ...

“เรื่องมีอยู่ว่า... นายสมหวังจ้างนายสมควรเลี้ยงวัว ระหว่างที่เลี้ยงอยู่นายสมควรแอบรีดนมวัวไปขายเอาเงินมาเก็บไว้เอง อยากรู้ว่านายสมควรมีความผิดตามกฎหมายประการใดหรือไม่”

แล้วแบบนี้ฉันควรทำยังไง???

สิ่งแรกที่นึกออกคือจัดการเอาอาหารให้ลีโอและแมวทั้งสี่ตัวให้เรียบร้อย จากนั้นจึงกลับมานั่งขบคิดเพียงคนเดียวที่โซฟาตัวเดิม

เขาลาพักร้อน...

สิ่งที่ฉันคิดออกมีอยู่แค่นี้

เขาลาพักร้อน โดยไม่บอกล่วงหน้า แถมยังมีหน้าส่งอีเมลสั่งให้ฉันขับรถเอาข้าวมาให้หมาให้แมว...

วินาทีนั้นฉันเผลอตบโต๊ะข้างตัวเสียงดังจนตัวเองยังสะดุ้ง!

ไม่ใช่สิ... สิ่งที่ต้องคิดตอนนี้คือเรื่องนายสมควรเลี้ยงวัวต่างหาก... สมองสั่งการให้รีบเตือนตัวเอง

เอาละ ใช่... นายสมควรเลี้ยงวัว... นายสมควรเลี้ยงวัว... ถูกแล้ว นายนั่นแหละที่สมควรเลี้ยงวัว! ไหนๆ ก็ก่อความเดือดร้อนให้คนอื่นขนาดนี้ นอกจากทั้งหมาทั้งแมว นายยังน่าจะเลี้ยงวัวอีกสักตัวให้มันรู้แล้วรู้รอดกันไปเลย!!

เมื่อรู้สึกตัวว่าเริ่มจะฟุ้งซ่านไปใหญ่ ฉันจึงหยิบกระดาษใบเล็กขึ้นมาอ่านทวนซ้ำอีกครั้ง ท้ายกระดาษมีข้อความว่า

“ถ้าคุณหงุดหงิดจนคิดไม่ได้ คำเฉลยอยู่ใต้กระป๋องน้ำอัดลมในตู้เย็น”

ฉันตรงดิ่งไปยังที่หมายทันที กระดาษใบเล็กที่ดึงออกมาจากใต้กระป๋องน้ำอัดลม มีใจความว่า

“คำเฉลย
วัวเป็นทรัพย์ น้ำนมวัวถือเป็นดอกผลธรรมดาของทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 137 ประกอบมาตรา 148 การที่นายสมหวังจ้างนายสมควรเลี้ยงวัว กรรมสิทธิและการครอบครองในทรัพย์รวมถึงดอกผลของทรัพย์ยังเป็นของนายสมหวัง เมื่อนายสมควรแอบรีดนมวัวไปขายและเอาเงินเก็บไว้เอง เป็นการเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปโดยทุจริต

นายสมควรจึงมีความผิดฐานลักทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 334”

ปัดโธ่เอ๋ย... ง่ายๆ แบบนี้ใครก็คิดได้... ฉันแอบยิ้มกับตัวเอง

ลีโอเจ้าหมาน้อยนอนกระดิกหางสบายใจอยู่หน้าประตูบ้าน ส่วนหลังบ้านแม่แมวและลูกทั้งสี่ตัวกำลังขบเคี้ยวอาหารเม็ดในจานเดียวกันอย่างเอร็ดอร่อย

ในใจกำลังนึกอยู่ว่าจะกลับไปเขียนอีเมลตอบเขาว่าอย่างไรดี

แน่นอน คนใจร้ายแบบนี้ เขียนดีๆ ไม่ได้...

อย่างน้อยต้องตอบไปให้เจ็บใจเล่นเสียหน่อยว่า...

เรื่องชวนปวดหัวกะสัตว์สามสี่ตัวแค่นี้ จัดการได้สบายมาก!

16.3.55

สุรากาแฟ

เขาสั่งกาแฟปั่นรสมินต์…

จานกระเบื้องตรงหน้าเรามีชีสเค้กคาราเมลหนึ่งชิ้น ส่วนของฉันเป็นน้ำส้มปั่นในแก้วพลาสติกใส ด้านบนมีฝาปิดทรงโค้ง ข้างแก้วมีสัญลักษณ์อันเป็นสีประจำของร้านที่ถูกออกแบบมาให้จดจำได้ทันทีแม้มองเห็นจากระยะไกล

เสื้อเชิ้ตสีเข้มขับผิวขาวจัดให้ดูสว่างแม้จะเป็นเวลาค่ำในร้านกาแฟซึ่งมีผู้คนหนาแน่นและแสงสว่างน้อย

ระหว่างที่เขากำลังให้ความสนใจกับแผ่นพับโฆษณา แก้วกาแฟ และเมนูของว่าง ฉันจับตาดูมือสวยหยิบจับข้าวของต่างๆ บนโต๊ะอย่างคล่องแคล่ว

“คุณชอบดื่มกาแฟรสมินต์หรือ?” ที่สุดจึงเอ่ยถามขึ้นก่อน

“ก็ไม่เชิง” เขาตอบ หันมายิ้ม “ผมชอบมินต์ กลิ่นมันหอมเย็นดี”

“ไม่น่าเชื่อนะคะ ว่ามินต์กับกาแฟจะเข้ากันได้” ฉันว่า ส่งกระดาษทิชชูให้เขาเช็ดมือ

เขารับกระดาษมาและพยักหน้า “สองอย่างนี้สกัดจากต้นไม้เหมือนกัน ต่างแค่สายพันธุ์และสถานที่”

“คุณรู้ไหม มินต์มีต้นกำเนิดจากประเทศไหน?”

ฉันหัวเราะกับคำถามลองภูมิ “ไม่ทราบค่ะ”

“ฉันรู้แต่ว่ากาแฟมีต้นกำเนิดจากประเทศแถบอาหรับ ก่อนจะแพร่เข้าสู่ยุโรปและอเมริกาประมาณศตวรรษที่ 17-18”

“แค่นี้ก็มากพอแล้ว” เขาว่า อมยิ้ม

“ส่วนมินต์มีต้นกำเนิดในยุโรป แต่จะศตวรรษไหนไม่รู้แฮะ” ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ กับตัวเอง

“ที่แน่ๆ มินต์มีคุณสมบัติเป็นยา คุณรู้ไหม”

“เคยได้ยินค่ะ” ฉันจิบน้ำส้ม แต่แล้วก็ต้องทำหน้าเบ้ ก่อนจะพูดต่อ “กาแฟก็เหมือนกัน”

“ไม่อร่อยหรือ?” ใบหน้าใต้กรอบแว่นทำท่าสงสัย

“หวานไปหน่อย” ฉันตอบ เขย่าแก้วเพื่อให้น้ำแข็งละลาย “ลืมบอกไปว่าไม่หวาน”

ชายหนุ่มส่งแก้วกาแฟในมือให้ แววตาเป็นประกายสนุก

“เอ้า ลองชิมกาแฟดู เผื่อจะแก้โรคหวานจัดได้”

ฉันหัวเราะกับอาการล้อเล่นของเขา ไม่บอกก็รู้ว่าวันนี้คนตรงหน้าคงกำลังอารมณ์ดี สังเกตจากกิริยาที่ร่าเริงและผ่อนคลาย แม้จะเพิ่งเสร็จจากการประชุมมาราธอนมาหมาดๆ

เขายังชวนคุยต่อ

"ไม่ใช่แค่กาแฟอย่างเดียวนะที่เป็นยา เครื่องดื่มอย่างอื่นก็เป็นยาได้”

“ไวน์หรือคะ?” ฉันไม่แน่ใจ

“เปล่า”

“หือ?”

“เหล้าขาวต่างหาก” เขาหัวเราะเสียงดัง

มือสวยขยับเลื่อนจานของว่างเข้ามาใกล้ ช่วงหัวค่ำหลังเลิกงานในร้านกาแฟมีผู้คนค่อนข้างบางตา กลุ่มใหญ่ที่สุดดูคล้ายนักศึกษาปริญญาโทมาใช้พื้นที่สำหรับถกเถียงปัญหาอย่างเอาจริงเอาจัง อีกสองสามโต๊ะที่เหลือน่าจะเป็นกลุ่มเพื่อนร่วมงานที่แวะมาหาที่พูดคุยรอเวลาถนนว่าง

...เหมือนฉันกับเขา

ชายหนุ่มตักเค้กเข้าปากหนึ่งชิ้น ไม่ได้ทำหน้าเหยเกอย่างที่ฉันนึกเดาไว้แต่แรกว่าผู้ชายอย่างเขาไม่น่าจะชอบขนมหวาน

“พูดถึงเหล้าขาว ผมบังเอิญไปเจอคำถามมา เอามาถามคุณเล่นๆ ดีกว่า”

“ยังไงคะ?”

“สมมติในช่วง ‘งดเหล้า เข้าพรรษา’ มีร้านค้าแห่งหนึ่งปฏิบัติตามนโยบายรัฐอย่างเคร่งครัด โดยการไม่ขายสุราให้กับลูกค้าทุกเพศทุกวัยจนกว่าจะออกพรรษา”

“บ่ายวันหนึ่ง นาย ก. นาย ข. นาย ค. สามขี้เมาประจำซอย เดินเข้าไปในร้านบอกขอซื้อสุรา นาง ง.เจ้าของร้านไม่ยอมขาย ทั้งสามคนจึงพูดว่า ‘ไม่ขายก็จะรินกินเอง’ ว่าแล้วก็พากันเดินไปหยิบสุราในร้านขึ้นมาขวดหนึ่ง เปิดฝาออก ขณะกำลังยกขวดแบ่งกันดื่ม นาง ง. เจ้าของร้านจะเข้าขัดขวาง แต่เมื่อเห็นนาย ก. ซึ่งเป็นอดีตนักมวยเก่ายืนท้าวสะเอวมองหน้า นาง ง. เกิดความกลัวจะถูกทำร้ายจึงไม่กล้าเข้าไปห้าม ทั้งสามคนดื่มสุราจนพอใจจึงเดินออกจากร้าน ทิ้งสุราที่ยังเหลือติดก้นขวดไว้ที่ร้าน”

“ถามว่า นาย ก. นาย ข. มีความผิดฐานใดหรือไม่ตามประมวลกฎหมายอาญา”

“โอ้โฮ” ฉันนิ่งคิดนาน “เรื่องผิดน่ะ ผิดแน่ แต่ผิดฐานไหนกันล่ะ”

“นั่นน่ะสิ” เขายิ้ม ระหว่างนั้นเรียกพนักงานในร้านเพื่อขอน้ำเปล่าเพิ่ม

“ขั้นแรกต้องผิดลักทรัพย์ก่อน เพราะเป็นการเอาไปซึ่งทรัพย์ของบุคคลอื่นโดยทุจริต ความผิดฐานลักทรัพย์สำเร็จแล้วตั้งแต่หยิบขวดเหล้ามาเปิดฝาออก และแบ่งกันดื่ม อันนี้แน่นอน” ฉันค่อยๆ คิดช้าๆ ทีละประโยค

เขาพยักหน้า

“ผิดลักทรัพย์ แต่ไม่ผิดชิงทรัพย์ เพราะไม่ได้ลักทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้าย”

“งั้นหรือ? ทำไมกรณีนี้จึงไม่ถือว่าใช้กำลังประทุษร้ายล่ะ”

ฉันนิ่งไปครู่หนึ่ง

“การใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย ต้องมีการแสดงออกโดยชัดเจน ไม่ว่าโดยวาจาหรือกิริยาท่าทาง กรณีนี้นาย ก. ซึ่งเป็นอดีตนักมวยเก่า เพียงแต่ยืนท้าวสะเอวมองหน้าเท่านั้น ไมได้ขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้าย เพียงแต่นาง ง. เกิดความกลัวไปเอง กรณีนี้จึงขาดองค์ประกอบความผิดฐานชิงทรัพย์”

“และเมื่อขาดองค์ประกอบความผิดฐานชิงทรัพย์ แม้กระทำร่วมกันสามคน ก็ไม่เป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์”

เขารับน้ำดื่มมาจากพนักงาน รินใส่แก้วให้ฉัน ก่อนจะถามต่อ

“เอาละ ตกลงคุณตอบว่า?”

“ทั้งสามคนมีความผิดฐานลักทรัพย์โดยร่วมกันกระทำตั้งแต่สองคนขึ้นไป แต่ไม่ผิดฐานชิงทรัพย์และปล้นทรัพย์”

คิ้วเข้มเลิกสูง หัวเราะหึหึ

“ถ้าอย่างนั้น ผิดฐานกรรโชกทรัพย์ หรือวิ่งราวทรัพย์ไหม?”

“อะไรนะ!”

“อ้าว ถ้าจะตอบก็ตอบให้ครบสิ” เค้กตรงหน้าถูกตัดแบ่งออกเป็นชิ้นเล็กๆ ด้วยฝีมือเขา

ทันใดนั้นฉันเริ่มรู้ตัวว่าพลาด

“งั้นคุณเฉลยเลยดีกว่า” ทำเสียงแข็ง

เขาหยุดจิบกาแฟนิดหนึ่ง แล้วจึงอธิบายต่อ “จะบอกให้ว่ากรณีนี้ไม่ผิดฐานกรรโชกทรัพย์”

“เพราะผู้กระทำได้ทรัพย์ไปแล้วตั้งแต่ต้น ความผิดฐานลักทรัพย์สำเร็จลงแล้วอย่างคุณว่า แต่เนื่องจากเป็นการลักทรัพย์โดยฉกฉวยเอาซึ่งหน้า...” ทันทีที่เขาหยุด ฉันรู้ตัวแล้วว่าตกหลุมพรางเข้าอย่างจัง

“ด้วยเหตุนี้ทั้งสามคนจึงมีความผิดฐานร่วมกันวิ่งราวทรัพย์ ไม่ใช่ลักทรัพย์”

“โอเค โอเค” ฉันเฉไฉดื่มน้ำส้มที่หวานจัดจนแสบคอเข้าไปอึกใหญ่จนเกือบสำลัก

“ร้านนี้ทำน้ำปั่นหวานจัง ไว้คราวหน้าเราย้ายร้านดีกว่า”

มือสวยยื่นมาดึงแก้วจากมือฉัน เอากลับไปวางที่โต๊ะ

“พอแล้ว ถ้าหวานเกินไปก็อย่ากิน เดี๋ยวเจ็บคอ” คราวนี้เขาเป็นฝ่ายส่งกระดาษทิชชูให้

“อีกอย่างนะ ผมว่า”

“ถึงย้ายร้านไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก ยังไงคุณก็ตอบผิดอยู่ดี”

12.3.55

เมื่อหมดรัก

“เป็นยังไงบ้าง งานแต่งงานเมื่อวาน” เขาเอ่ยปากถามขึ้นระหว่างมื้ออาหารกลางวัน

“ดีค่ะ” ฉันตอบสั้น ต่อด้วยประโยคคำถาม “ทำไมคุณถึงตัดสินใจไม่ไป”

“นั่นสินะ” เสียงถอนใจมาจากร่างผอมในชุดเสื้อเชิ้ตสีฟ้าจาง ม้วนปลายแขนขึ้นลวกๆ สายตาเขาจดจ่อกับหนังสือพิมพ์ในมือมากกว่าสนใจจะตอบคำถาม “ผมคงไม่ได้รู้สึกสนิทกับเขามากขนาดนั้น”

“ฉันแปลกใจนิดหน่อยที่ไม่เจอคุณ” ฉันตักอาหารเข้าปาก “ทั้งที่เจ้าบ่าวรุ่นเดียวกับคุณ แถมยังทำงานที่เดียวกับเรา ส่วนเจ้าสาวนี่เพื่อนกลุ่มเดียวกันกับฉัน”

คราวนี้เขาหัวเราะเสียงดัง ทั้งที่สายตายังจับอยู่ที่หนังสือพิมพ์ “นั่นไงละ เพราะผมรู้ไงว่าคุณต้องไปแน่ๆ”

“นึกๆ ดู ผมคงไม่อยากเห็นคุณในชุดประหลาดไปจากที่เห็นอยู่ทุกวันสักเท่าไหร่”

ฉันชะงัก อ้าปากจะโต้ตอบ ชายหนุ่มรู้ทันรีบส่งหนังสือพิมพ์ในมือให้

“เอ้า ดูนี่สิ” เขาหัวเราะหึหึ “ข่าวนี่ตลกดีนะ”

หน้าที่เปิดค้างไว้เป็นข่าวสั้นในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง สรุปใจความว่า

“นายแพทย์ชาวอเมริกัน ขึ้นศาลขอทวงไตข้างหนึ่งที่เคยบริจาคให้แก่ภรรยา หลังจากที่ทั้งคู่ได้ทำเรื่องหย่าขาดจากกัน”

“ดร.บาติสตา ศัลยแพทย์ชาวอเมริกัน ได้บริจาคไตข้างหนึ่งให้ภรรยาเมื่อแปดปีที่แล้ว เพราะภรรยาเกิดล้มป่วยหนัก แต่แทนที่จะซาบซึ้งกับคุณความดี ภรรยากลับไปมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับชายอื่น จึงทำให้ตัดสินใจหย่าขาดจากกัน ดร.บาติสตาต้องการไตที่บริจาคให้ภรรยาคืน ด้วยเหตุนี้จึงนำคดีมาสู่ศาล และหากทำเรื่องขอทวงไตคืนไม่ได้ก็ขอเรียกเป็นค่าชดเชยความเสียหาย คิดเป็นมูลค่า 1.5 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 50 ล้านบาท) “

ฉันหันไปมองหน้าเขา

“คุณคิดว่าไง” เขาเลิกคิ้ว เคาะนิ้วลงกับโต๊ะ

“เหลือเชื่อจริงๆ” ฉันว่า แล้วถอนหายใจจริงจัง “นี่มันบ่ายวันเสาร์นะคะ”

“คุณไม่เคยปล่อยให้ฉันสมองว่างบ้างเลย”

ฉันหยิบชิ้นข่าวบนโต๊ะขึ้นมาอ่านทบทวนอีกครั้ง “ประเด็นคือเรื่องสินสมรสหรือเปล่าคะ ฉันไม่ค่อยแน่ใจ”

“ถ้าไม่ใช่เพราะผม ก็คงเพราะอากาศตอนบ่ายวันเสาร์ทำให้คุณเบลอ” เขาหัวเราะสนุก

“ถ้าเป็นเรื่องสินสมรส กฎหมายวางหลักไว้ว่าสินสมรสคือบรรดาทรัพย์สินที่คู่สมรสได้มา ‘ระหว่าง’ สมรส แตกต่างจากสินส่วนตัว ซึ่งหมายถึงบรรดาทรัพย์สินที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีอยู่ ‘ก่อน’ สมรส และยังรวมถึงเครื่องมือเครื่องใช้ส่วนตัว และทรัพย์สินที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้มาระหว่างสมรสโดยการรับมรดก หรือการให้โดยเสน่หา”

“หากคู่สามีภรรยาตกลงหย่าขาดจากกัน ย่อมทำให้การสมรสสิ้นสุดลงตามกฎหมาย ผลคือต้องมีการแบ่งสินสมรสระหว่างชายและหญิงเป็นส่วนเท่าๆกัน”

“ในกรณีนี้ ถ้าประเด็นเป็นเรื่องสินสมรสอย่างคุณว่า เราคงต้องมาพิจารณาว่า ในขณะหย่า คู่สามีภริยามีทรัพย์สินใดที่ถือว่าเป็นสินสมรสบ้าง เราต้องมีการแยกสินสมรสออกจากสินส่วนตัวอย่างชัดเจน จะได้สามารถแบ่งเป็นส่วนเท่าๆ กันอย่างถูกต้อง”

“เพราะฉะนั้น ถ้ามองแบบนี้ สิ่งสำคัญที่ต้องคิดในคดีนี้คือ ‘ไต’ ถือเป็นสินสมรสหรือเปล่า” คราวนี้เขาหัวเราะเสียงดังไม่หยุด

ฉันส่งค้อนให้เพราะอดไม่ได้ เสจิบน้ำผลไม้เย็นเฉียบจากแก้วสูง

“โอเค ฉันเข้าใจละ”

“ถ้าอย่างนั้นคุณคิดว่า...”

“ตามกฎหมายไทย ผมว่าเรื่องนี้น่าจะเทียบได้กับการให้โดยเสน่หา...” ชายหนุ่มพยายามม้วนแขนเสื้อที่ตกลงมาข้างหนึ่งกลับขึ้นไปให้เรียบร้อย

“...ซึ่งเป็นกรณีที่ผู้ให้อาจถอนคืนการให้โดยอาศัยเหตุเนรคุณ เช่น ผู้รับได้ประทุษร้ายผู้ให้เป็นความผิดอาญาร้ายแรง หรือผู้รับได้ทำให้ผู้ให้เสียชื่อเสียงหรือหมิ่นประมาทผู้ให้อย่างร้ายแรง”

“แต่การให้บางอย่างก็ถอนคืนด้วยเหตุเนรคุณไม่ได้” ฉันว่า “เช่น การให้โดยหน้าที่ธรรมจรรยา หรือให้ในการสมรส”

“เก่งมาก” เขาจัดแขนเสื้อเข้าที่ด้วยท่าทางพออกพอใจ “ไม่รู้สิ ผมแค่คิดเล่นๆ”

“เหลือเชื่อไหม คนเราเวลาหมดรัก ให้ร้ายแค่ไหนอะไรก็ทำได้”

ฉันลอบเห็นแววตาจริงจังหลังกรอบแว่นสวย

“ความรักเกิดขึ้น มีอยู่ และสักวันก็อาจหมดไป” เขาหยุด และพูดต่อ “อย่างคู่เพื่อนเราที่เพิ่งแต่งงานเมื่อวาน...”

“คุณกำลังจะบอกว่าสักวันเขาก็เลิกกัน?” ฉันเสียงแข็ง “และอาจลุกขึ้นมาฟ้องเรียกม้าม หรือไตคืนอย่างคู่นี้?”

“ก็อาจเป็นได้” เขาพับหนังสือพิมพ์เก็บอย่างเรียบร้อย

“ผมแค่จะบอกว่าฟ้องเรียกไตคืนยังไม่เท่าไหร่”

“ ถ้าหมดรักแล้วฟ้องเรียกหัวใจคืน อย่างนี้ก็คงลำบากเหมือนกัน”

10.3.55

ความมีหัวกฎหมาย

“ลักษณะความมีหัวกฎหมาย หรือ Legal Mind นั้นคืออย่างไร”

“ครูบาอาจารย์บอกว่า สอบไล่กฎหมายได้เป็นเนติบัณฑิตแล้วก็ตามเถอะ ยังไม่มีหัวกฎหมายหรอก ต้องคลุกคลีทำงานกับกฎหมายนานๆ จึงจะรู้สึก หรือถ้าเราทึบพอที่จะไม่รู้สึก ก็อาจจะไม่รู้สึกไปตลอดชีวิต และไม่มีวันมี Legal Mind ได้”
ฉันค่อยๆ อ่านช้าๆ

“ความมีหัวกฎหมายนั้น เป็นผลจากการรู้หลักกฎหมายโดยทั่วไปและรู้สึกแจ่มใสมั่นคง และความรู้แตกต่างอันประณีตของหลักหนึ่งๆ ใกล้เคียง และรู้ว่าหลักหลายหลักจะใช้ผสมกันได้เพียงใดหรือไม่ ครั้นแล้วรู้ว่าส่วนปลีกย่อยกลุ่มหนึ่งๆ นั้น จะใช้กับหลักไหนได้ถูกต้อง แล้วก็หยิบทั้งหลักทั้งส่วนปลีกย่อยออกมาใช้กับคดีเฉพาะหน้าได้โดยถูกต้อง ครบถ้วน และเป็นธรรม”

ฉันหยุด เขาเหลือบตามอง ฉันอ่านต่อ

“Legal Mind นี้คือการตีความ ตัวบทเขาว่าอย่างนี้ ถ้าเราเป็นผู้มีหัวกฎหมาย เราจะตีความถูกต้องว่าความประสงค์เป็นอย่างนี้ แล้วใช้ได้ถูกต้อง ถ้าเป็นคนที่ไม่มีหัวกฎหมาย จะเกิดสับสนว่า ตัวบทนี้หมายถึงอะไร ความมีหัวกฎหมาย หรือ Legal Mind นั้นเกิดยาก ต้องฝึกตนเองให้มีขึ้นมา คนที่มีจะต้องฉับพลันทันที คืออ่านปุ๊บ เข้าใจปั๊บ ใช้ได้ถูกต้อง เพราะฉะนั้นจึงเป็นสิ่งที่สอนกันไม่ได้ แต่ฝึกได้เอง”

ฉันปิดหนังสือ หันไปทางขวา ชายหนุ่มสวมแว่นตาในชุดเสื้อยืดสีขาวไม่มีลายกับกางเกงสั้นแค่เข่าสีน้ำตาลหันมามองอย่างสนอกสนใจ

“เป็นบทความที่เยี่ยมมาก” เขาว่า “คุณไปเอามาจากไหนน่ะ”

“หนังสือ ‘ความมีหัวกฎหมาย’” ฉันพลิกหนังสือเล่มบางในมือ “ศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ ท่านเขียนไว้ค่ะ”

“แล้วทีนี้คุณรู้หรือยัง?”

“รู้อะไร?” เขาทำหน้าฉงน

“เมื่อกี้ที่ฉันบอกคุณว่าฉันไม่มีหัวกฎหมายเนี่ย มันเป็นยังไง” ฉันปิดหนังสือวางลงกับโต๊ะ กอดอก เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ไม้หน้าบ้าน และพยักหน้าให้กับตัวเอง

“มันก็เป็นแบบที่ท่านอาจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ ว่าไว้นี่ละ”

“คนที่เห็นปัญหากฎหมายแล้วมองไม่ออก คิดไม่ทัน ตีความไม่ถูก ตอบปัญหาไม่ได้ จับประเด็นอะไรก็ผิดไปหมด แถมยังเอากฎหมายมาใช้ไม่ถูกกับเรื่องเนี่ย เขาเรียกพวกไม่มีหัวกฎหมาย...”ฉันหันไปทางเขา

“...หรืออีกนัยหนึ่ง พวก ‘บัวใต้น้ำ’”

ถอนใจเฮือก

เขาส่ายหน้า “แต่ผมไม่เห็นด้วย

“คุณพูดเกินไปที่ว่าคุณไม่มีหัวกฎหมาย” ชายหนุ่มขยับเลื่อนเก้าอี้ออกห่างโต๊ะ เหยียดขาในท่าสบาย

“ถ้าคุณไม่มีหัวกฎหมายจริง คุณคงไม่อยู่ที่นี่มาจนป่านนี้”

“ฉันมันแค่พอทำได้ แต่ไม่ได้เก่ง สู้คุณหรือคนอื่นๆ ไม่ได้ด้วยซ้ำ ขนาดฉันเข้ามาทำงานก่อนคุณแท้ๆ คุณน่ะก้าวพรวดๆ ส่วนฉันกลับไปไม่ถึงไหน” ฉันถอนหายใจหนักหน่วง

“ฉันนี่มันไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ”

ชายหนุ่มขยับลุกขึ้นนั่งตัวตรงอย่างตั้งใจ

“เอาละ ถ้าคุณว่าคุณไม่มีหัวกฎหมาย ไหนตอบปัญหากฎหมายผมสักข้อซิ”

“พนันกันเลยว่าฉันต้องตอบไม่ได้” ฉันมั่นใจ “ไหนว่ามาสิคะ”

“นาย ก. ยืม น้ำมันนาย ข.ไป ห้าลิตร สัญญาว่าอีกหนึ่งสัปดาห์จะเอามาใช้คืน ปรากฏว่าเมื่อถึงเวลา นาย ข. ไปทวงน้ำมัน นาย ก. กลับบอกว่าเอาน้ำมันทั้งห้าลิตรไปขายหมดแล้ว ดังนี้ ถามว่านาย ก. จะมีความผิดอาญาฐานใดหรือไม่?”

“ไม่ผิด” ฉันตอบ “เป็นกรณียืมใช้สิ้นเปลือง กรรมสิทธิ์ในน้ำมันทั้งห้าลิตรโอนไปยังนาย ก. แล้ว ตั้งแต่เมื่อส่งมอบน้ำมัน เมื่อนาย ก. นำน้ำมันทั้งห้าลิตรไปขาย จึงไม่เป็นความผิดอาญาฐานลักทรัพย์ หรือยักยอกทรัพย์ของนาย ข.”

“ปั้ดโธ่ แต่ข้อนี้มันง่ายนี่... คุณเล่นถามแบบนี้ ใครก็ตอบได้” ฉันโวยวาย

“งั้นเอาใหม่” เขาอมยิ้ม ขยับตัวลุกนั่งใหม่ในท่าที่สบายขึ้น “โจทย์ข้อนี้มีนาย ก. นาย ข. นาย ค. นาย ง. และนาย จ.”

“ห๊า?” ฉันร้อง เขาหัวเราะเสียงดัง

“ทั้งห้าคนนั่งดื่มสุราด้วยกัน นาย ก. เกิดทะเลาะวิวาทกับนาย จ. นาย ก. ลุกขึ้นคว้าปืนขึ้นเล็งไปทางนาย จ. กำลังจะยิง นาย ข. ซึ่งนั่งอยู่ใกล้ได้แย่งปืนมา แล้วส่งให้ นาย ค.เก็บไว้ โดยไม่รู้ว่านาย ค. ก็เคยมีเรื่องบาดหมางกับนาย จ. มาก่อน และต้องการจะฆ่านาย จ. เหมือนกัน เมื่อนาย ค. ได้ปืนมา ได้ส่งปืนกระบอกนั้นต่อให้นาย ง. ทันที และร้องสั่งให้นาย ง. ยิงนาย จ. ปรากฏว่านาย ง. ซึ่งเป็นคนบ้าจี้ได้ยินเสียงนาย ค. ตะโกน ก็ตกใจ เลยทำปืนลั่นใส่นาย จ. เสียชีวิต”

“ถามว่า นาย ก. นาย ข. นาย ค. และนาย ง. ต้องรับผิดอาญาฐานใดหรือไม่”

“คุณนี่ตั้งโจทย์อย่างกับการ์ตูนแอนิเมชั่น “ ฉันบ่น “มีส่งปืนต่อเป็นทอดๆ ด้วย...”

“ตกลงคุณจะตอบไหม”

ฉันค้อนขวับ

“เอาละ นาย ก. ผิดฐานพยายามฆ่านาย จ. เพราะได้ลงมือแล้วแต่กระทำไปไม่ตลอด นาย ข. ไม่มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนให้นาย ค. ฆ่านาย จ. เนื่องจากนาย ข. ขาดเจตนา”

“ส่วนนาย ค. เป็นผู้กระทำผิดโดยอ้อม ฐานฆ่านาย จ. ตายโดยเจตนา ถือเป็นการกระทำด้วยตนเอง ไม่ผิดฐานเป็นผู้ใช้ เพราะนาย ง. ซึ่งได้กระทำความผิดลงไปนั้นเป็นผู้ไม่รู้ผิดชอบในขณะกระทำผิด หรืออีกนัยหนึ่ง คือนาย ง. ขาดเจตนา เพราะฉะนั้น นาย ง. จึงไม่มีความผิด”

“ส่วนนาย จ. ตายไปแล้ว...คุณจะให้ฉันทำยังไง?”

เขาระเบิดหัวเราะเสียงลั่น “นั่นไง เห็นไหม คุณออกจะมีหัวกฎหมาย แถมยังมีพรสวรรค์ในทางยียวนกวนประสาทอีกต่างหาก”

มือเรียวสวยเอื้อมมาแตะหลังมือฉันแผ่วเบา “เลิกกังวลได้แล้วนะ”

“ไม่รู้ซีคะ” ฉันดึงมือออกอย่างนุ่มนวล ก่อนถอนหายใจอีกครั้ง “ฉันว่าจริงๆ แล้วคุณก็รู้ว่าฉันหมายความว่ายังไง...”

“ผมรู้...” เขายิ้ม “แต่ผมว่าคุณแค่ท้อและกังวลกับภาระงานที่หนักและยากเกินไปมากกว่า ถึงอย่างไรผมก็เชื่อว่าคุณเข้มแข็งพอที่จะผ่านมันไปได้”

“ตรงกันข้าม ฉันกลับรู้สึกว่า ตอนนี้ฉันไม่เข้มแข็งพอที่จะผ่านอะไรทั้งนั้น” ฉันรู้สึกว่าตัวเองกำลังเสียงสั่น

“เด็กดื้อ” เขาลุกขึ้น เดินอ้อมมายืนด้านหลัง ฉันสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นของสองมือที่วางบนไหล่

“รู้ไว้นะ ผมเชื่อเสมอว่าคุณทำได้”

“เพราะถ้าผมไม่เชื่อ ผมคงไม่มานั่งอยู่ตรงนี้กับคุณ”

8.3.55

พระจันทร์

19.30 น. โทรศัพท์มือถือบนโต๊ะสั่นผิดเวลา ฉันหยิบมาเปิดดูข้อความ

“Hey! please see the moon now. It’s lovely.”

พระจันทร์? ฉันหยุดคิด แสดงว่าวันนี้ต้องมีอะไรพิเศษ ก่อนจะวางเอกสารในมือลง กำลังจะกดโทรศัพท์ แต่แล้วกลับเปลี่ยนใจ ขยับตัวลุกจากเก้าอี้ไปที่หน้าต่างกระจกบานใหญ่ของตึกสูง โดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจากมุมนี้จะมองเห็นพระจันทร์หรือไม่

เสียงเคาะประตูดังขึ้นก่อนที่ฉันจะเดินไปถึงหน้าต่าง

“เชิญค่ะ”

ร่างสูงเปิดเข้ามาด้วยสีหน้าเรียบเฉยเป็นปกติ

“คุณช่วยดูเอกสารนี่หน่อยสิ” เขาวางกระดาษปึกใหญ่ลงบนโต๊ะ “มีหลายอย่างที่ผมไม่แน่ใจว่าเราควรจะจัดการยังไง ”

“คะ?” ฉันปรับอารมณ์ไม่ทัน

“รีบหน่อยก็ดีนะ ผมอยากได้ตอนนี้” เขาหันหลังทำท่าจะเดินออกไป แต่แล้วกลับชะงัก

“คุณทำอะไรอยู่หรือเปล่า?”

“เปล่าค่ะ” ฉันตอบเสียงเรียบ

“หรือว่าคุณกำลังจะกลับบ้าน?”

“ไม่ค่ะ”

“แล้วคุณกำลังจะไปไหน?”

“ฉันแค่จะลุกไปดูพระจันทร์”

ใบหน้านั้นนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะขมวดคิ้ว

“แล้วแต่คุณแล้วกัน ถ้าไม่ว่างไม่เป็นไร ผมรอพรุ่งนี้ก็ได้” เขาหันหลัง ก้าวออกจากห้องไปอย่างไม่สนใจ

ฉันเดินกลับมานั่งที่เก้าอี้ตัวเดิม รู้สึกได้ทันทีว่ามือเย็นเฉียบ

เอกสารที่เขาหอบมากองวางรออยู่ตรงหน้า ขณะที่ฉันกำลังชั่งใจอย่างหนักว่า ควรหยิบขึ้นมาดูสักแผ่นในตอนนี้เลย หรือจะทิ้งไว้อย่างนี้ก่อน แล้วค่อยมาจัดการพรุ่งนี้เช้า

ระหว่างนั้น เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง

ชายหนุ่มเปิดเข้ามาโดยไม่รอเสียงตอบ

“มากับผมหน่อยสิ” น้ำเสียงอ่อนลง

“คราวนี้อะไรอีกล่ะ” ฉันชักฉุน

มือสวยเข้ามาดึงข้อมือฉันให้ลุกขึ้น เดินนำไปยังห้องกาแฟเล็กๆ บนตึกสูงที่มีหน้าต่างกระจกแคบๆ เพียงบานเดียว เวลาเย็นหลังเลิกงานที่ยังเหลือคนทำงานอยู่ไม่กี่คน ทำให้ห้องเล็กริมทางเดินนี้มืดและเงียบสนิท แต่ยังหอมกลิ่นกาแฟจางๆ

“ตรงที่คุณอยู่มองไม่เห็นหรอก พระจันทร์” เขาดึงมือฉัน “ต้องมาตรงนี้”

เขาเบี่ยงตัวหลบ ฉันเดินเข้าไปชะโงกหน้าแนบกระจกหน้าต่าง ข้างนอกมีพระจันทร์เสี้ยวกำลังอมยิ้มน่ารัก

“ของขวัญขอบคุณล่วงหน้า สำหรับความใจดีที่จะช่วยงานผม” ถึงไม่เห็นหน้าก็รู้ว่าคนพูดกำลังยิ้ม ยิ่งชัดว่ากำลังแกล้งสำนึกผิด

“Common Heritage of Mankind” ฉันย้อนทันควัน

“ครับ?”

“หลักสมบัติร่วมกันของมนุษยชาติ” ฉันหันกลับไปเผชิญหน้าเขา

“ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ ดวงจันทร์ ดวงดาว และวัตถุอวกาศ รวมทั้งพื้นที่และทรัพยากรที่อยู่ในเขตทะเลหลวง ต่างถือเป็นสมบัติร่วมกันของมนุษยชาติ นั่นหมายความว่า สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ไม่อาจตกเป็นกรรมสิทธิหรือแม้แต่จะถูกยึดถือหรือครอบครองได้โดยรัฐหรือบุคคลใด และทุกคนสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากสิ่งเหล่านี้ได้เท่าเทียมกัน”

“คุณให้พระจันทร์เป็นของขวัญฉันไม่ได้หรอก” หางเสียงสะบัด

เขาสบตาฉัน หยิบบางอย่างขึ้นมาจากกระเป๋า

“คุณอยู่นิ่งๆ ก่อนนะ”

เสียงชัตเตอร์ลั่นเบาๆ

“ถูกที่ว่าผมให้พระจันทร์เป็นของขวัญคุณไม่ได้”

นิ้วเรียวเอื้อมมาแตะปลายผม “แต่รูปพระจันทร์ที่ผมถ่ายเองกับมือ คุณเองก็คงหาที่ไหนไม่ได้เหมือนกัน”

“ดูสิ สวยไหม” เขาส่งโทรศัพท์มือถือให้

“นี่ไง พระจันทร์ของเรา”

1.11.53

กฎธรรมชาติ

“คุณว่างหรือเปล่า” เสียงนั้นถาม ระหว่างที่ฉันกำลังละเลียดจิบกาแฟ

“คะ?” ฉันวางแก้วลงช้าๆ เงยหน้าขึ้นมองเขา ให้ตายเถอะ ในวันหยุด กับบรรยากาศสบายๆ ในร้านอาหารเล็กๆ กลางเมืองที่ผู้คนไม่พลุกพล่าน เหลือเชื่อว่าผู้ชายคนนี้ยังคงถามฉันด้วยน้ำเสียงและประโยคเดิมๆ

โดยไม่รอคำตอบ เขาหยิบบางอย่างส่งให้

“เห็นว่าคุณชอบอ่านหนังสือ พอดีผมไปเจอเล่มนี้มา คิดว่าคุณน่าจะชอบ”

“ค่ะ” ฉันรับมาโดยไม่ลืมเอ่ยปากขอบคุณ เขาพูดต่อทันที

“ผมอยากให้คุณอ่าน อยากรู้ว่าคุณคิดยังไง”

“ตอนนี้เลยหรือคะ?” ฉันพลิกดูหนังสือเล่มหนาในมือ

“แค่เปิดผ่านๆ ก็ได้...”

“ถ้าคุณว่าง” เขายิ้ม

ฉันรับมากวาดสายตาไล่ดูบทแรก “แบบผ่านๆ” อย่างเขาว่า เห็นชื่อตัวละครบางตัวเป็นภาษาต่างประเทศ ที่ดูแล้วไม่น่าจะใช่ภาษาอังกฤษ จึงหันไปมองเขาอย่างแปลกใจ และเมื่อพลิกกลับมาดูที่หน้าปกอีกครั้ง จึงได้รู้ว่า ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้เป็นสตรีชาวอินเดีย

สายตาฉันสะดุดอยู่ที่บางประโยคซึ่งปรากฎอยู่ในช่วงต้นของหนังสือ ...ประโยคที่ถูกพูดซ้ำในสองหน้าติดๆ กัน...

…They all crossed into forbidden territory. They all tampered with the laws that lay down who should be loved and how. And how much. The laws that make grandmothers grandmothers, uncles uncles, mothers mothers, cousins cousins, jam jam, and jelly jelly…”

“… Equally, it could be argued that it actually began thousands of years ago. Long before the Marxists came. Before the British took Malabar, Before the Dutch Ascendency, before Vasco da Gama arrived, before the Zamorin’s conquest of Calicut…

That it really began in the days when the Love Laws were made. The laws that lay down who should be loved and how. And how much.”

“กฎเกณฑ์ที่กำหนดในเรื่องของความรัก??” ฉันทวนคำพูดในหนังสืออย่างแปลกใจ

“ใช่” เขาตอบ “คุณนี่ตาไวนะ”

“คุณต้องการจะบอกอะไรฉัน” ฉันปิดหนังสือ หันไปมองคนตรงหน้า

“ไว้อ่านจบทั้งหมดคุณก็จะรู้เอง” เขากอดอก เอนหลังพิงเบาะนุ่มๆ ภายในร้านอย่างสบายใจ

“แต่เท่าที่ผมอยากรู้ตอนนี้ก็คือ คุณคิดว่ามันมีอยู่จริงไหม?”

“อะไรคะ”

“กฎเกณฑ์-ที่-กำหนด-ในเรื่องของ-ความรัก” เขาจงใจทวนคำพูดฉัน

“กฎเกณฑ์ที่เราต้องปฏิบัติตามอย่างไม่มีทางเลี่ยง กฎเกณฑ์ที่กำหนดความรักของเรา กฎเกณฑ์ที่บอกเราว่า เราสามารถรักใครได้บ้าง จะรักได้แค่ไหน และต้องรักอย่างไร”

“ฉันเชื่อว่าความรักเป็นเรื่องธรรมชาติ...” ฉันตอบ “...ถึงยังไงความรักก็ต้องอยู่ใต้กฎของธรรมชาติ”

“งั้นหรือ?” ชายหนุ่มเปลี่ยนอิริยาบทจากท่ากอดอกพิงพนัก มาเป็นนั่งเท้าศอกลงบนโต๊ะตัวเล็ก

“น่าแปลกที่ผมไม่เชื่ออย่างนั้น”

“คุณเองก็รู้ ในเรืองที่เกี่ยวกับกฎเกณฑ์และกฎหมาย ฝ่ายสำนักกฎหมายธรรมชาติ เชื่อว่าโลกเรามีกฎเกณฑ์จากพระเจ้า กฎเกณฑ์อันเกิดจากศีลธรรมและความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของมนุษย์ ดังนั้น กฎเกณฑ์ที่ถูกกำหนดขึ้นมาใช้กับมนุษย์ จึงต้องไม่ขัดหรือแย้งกับกฎธรรมชาติ”

“ส่วนสำนักกฎหมายฝ่ายบ้านเมือง กลับเชื่อว่า กฎหมายมีไว้เพื่อรักษาความสงบของบ้านเมืองและควบคุมความประพฤติของคน ดังนั้น กฎหมายจึงอาจไม่จำเป็นต้องถูกต้องตามศีลธรรมหรือความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของมนุษย์ก็ได้ หรืออาจไม่ยุติธรรมหรือไม่เป็นธรรมเลยก็ยังได้ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม สิ่งนั้นก็ยังคงเป็นกฎหมาย...”

ฉันอ้าปากเตรียมเถียง แต่เขาชิงขัดขึ้นเสียก่อนด้วยแววตาเป็นประกาย

“เอาละ ไม่ว่าคุณจะเห็นด้วยกับแนวคิดไหนก็ตาม ผมว่าทั้งสองเรื่องนี้เอามาใช้กับความรักไม่ได้” รีบสรุป

“เดี๋ยวเรายังต้องไปดูหนังกันอีกใช่ไหม คุณเอาเล่มนี้ไปอ่านให้จบเถอะ แล้วคุณจะรู้ว่าที่ผมพูดหมายความว่ายังไง”

เขาลุกขึ้น หันมาดึงมือฉันให้ลุกตาม

“แต่ผมยังเชื่อจริงๆนะว่า เวลาเรารักใคร เราสามารถจะก้าวข้ามกฎเกณฑ์อะไรต่อมิอะไรไปได้จริงๆ”



* จากนวนิยายเรื่อง The God of Small Things โดย Arundhati Roy