1.11.53

กฎธรรมชาติ

“คุณว่างหรือเปล่า” เสียงนั้นถาม ระหว่างที่ฉันกำลังละเลียดจิบกาแฟ

“คะ?” ฉันวางแก้วลงช้าๆ เงยหน้าขึ้นมองเขา ให้ตายเถอะ ในวันหยุด กับบรรยากาศสบายๆ ในร้านอาหารเล็กๆ กลางเมืองที่ผู้คนไม่พลุกพล่าน เหลือเชื่อว่าผู้ชายคนนี้ยังคงถามฉันด้วยน้ำเสียงและประโยคเดิมๆ

โดยไม่รอคำตอบ เขาหยิบบางอย่างส่งให้

“เห็นว่าคุณชอบอ่านหนังสือ พอดีผมไปเจอเล่มนี้มา คิดว่าคุณน่าจะชอบ”

“ค่ะ” ฉันรับมาโดยไม่ลืมเอ่ยปากขอบคุณ เขาพูดต่อทันที

“ผมอยากให้คุณอ่าน อยากรู้ว่าคุณคิดยังไง”

“ตอนนี้เลยหรือคะ?” ฉันพลิกดูหนังสือเล่มหนาในมือ

“แค่เปิดผ่านๆ ก็ได้...”

“ถ้าคุณว่าง” เขายิ้ม

ฉันรับมากวาดสายตาไล่ดูบทแรก “แบบผ่านๆ” อย่างเขาว่า เห็นชื่อตัวละครบางตัวเป็นภาษาต่างประเทศ ที่ดูแล้วไม่น่าจะใช่ภาษาอังกฤษ จึงหันไปมองเขาอย่างแปลกใจ และเมื่อพลิกกลับมาดูที่หน้าปกอีกครั้ง จึงได้รู้ว่า ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้เป็นสตรีชาวอินเดีย

สายตาฉันสะดุดอยู่ที่บางประโยคซึ่งปรากฎอยู่ในช่วงต้นของหนังสือ ...ประโยคที่ถูกพูดซ้ำในสองหน้าติดๆ กัน...

…They all crossed into forbidden territory. They all tampered with the laws that lay down who should be loved and how. And how much. The laws that make grandmothers grandmothers, uncles uncles, mothers mothers, cousins cousins, jam jam, and jelly jelly…”

“… Equally, it could be argued that it actually began thousands of years ago. Long before the Marxists came. Before the British took Malabar, Before the Dutch Ascendency, before Vasco da Gama arrived, before the Zamorin’s conquest of Calicut…

That it really began in the days when the Love Laws were made. The laws that lay down who should be loved and how. And how much.”

“กฎเกณฑ์ที่กำหนดในเรื่องของความรัก??” ฉันทวนคำพูดในหนังสืออย่างแปลกใจ

“ใช่” เขาตอบ “คุณนี่ตาไวนะ”

“คุณต้องการจะบอกอะไรฉัน” ฉันปิดหนังสือ หันไปมองคนตรงหน้า

“ไว้อ่านจบทั้งหมดคุณก็จะรู้เอง” เขากอดอก เอนหลังพิงเบาะนุ่มๆ ภายในร้านอย่างสบายใจ

“แต่เท่าที่ผมอยากรู้ตอนนี้ก็คือ คุณคิดว่ามันมีอยู่จริงไหม?”

“อะไรคะ”

“กฎเกณฑ์-ที่-กำหนด-ในเรื่องของ-ความรัก” เขาจงใจทวนคำพูดฉัน

“กฎเกณฑ์ที่เราต้องปฏิบัติตามอย่างไม่มีทางเลี่ยง กฎเกณฑ์ที่กำหนดความรักของเรา กฎเกณฑ์ที่บอกเราว่า เราสามารถรักใครได้บ้าง จะรักได้แค่ไหน และต้องรักอย่างไร”

“ฉันเชื่อว่าความรักเป็นเรื่องธรรมชาติ...” ฉันตอบ “...ถึงยังไงความรักก็ต้องอยู่ใต้กฎของธรรมชาติ”

“งั้นหรือ?” ชายหนุ่มเปลี่ยนอิริยาบทจากท่ากอดอกพิงพนัก มาเป็นนั่งเท้าศอกลงบนโต๊ะตัวเล็ก

“น่าแปลกที่ผมไม่เชื่ออย่างนั้น”

“คุณเองก็รู้ ในเรืองที่เกี่ยวกับกฎเกณฑ์และกฎหมาย ฝ่ายสำนักกฎหมายธรรมชาติ เชื่อว่าโลกเรามีกฎเกณฑ์จากพระเจ้า กฎเกณฑ์อันเกิดจากศีลธรรมและความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของมนุษย์ ดังนั้น กฎเกณฑ์ที่ถูกกำหนดขึ้นมาใช้กับมนุษย์ จึงต้องไม่ขัดหรือแย้งกับกฎธรรมชาติ”

“ส่วนสำนักกฎหมายฝ่ายบ้านเมือง กลับเชื่อว่า กฎหมายมีไว้เพื่อรักษาความสงบของบ้านเมืองและควบคุมความประพฤติของคน ดังนั้น กฎหมายจึงอาจไม่จำเป็นต้องถูกต้องตามศีลธรรมหรือความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของมนุษย์ก็ได้ หรืออาจไม่ยุติธรรมหรือไม่เป็นธรรมเลยก็ยังได้ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม สิ่งนั้นก็ยังคงเป็นกฎหมาย...”

ฉันอ้าปากเตรียมเถียง แต่เขาชิงขัดขึ้นเสียก่อนด้วยแววตาเป็นประกาย

“เอาละ ไม่ว่าคุณจะเห็นด้วยกับแนวคิดไหนก็ตาม ผมว่าทั้งสองเรื่องนี้เอามาใช้กับความรักไม่ได้” รีบสรุป

“เดี๋ยวเรายังต้องไปดูหนังกันอีกใช่ไหม คุณเอาเล่มนี้ไปอ่านให้จบเถอะ แล้วคุณจะรู้ว่าที่ผมพูดหมายความว่ายังไง”

เขาลุกขึ้น หันมาดึงมือฉันให้ลุกตาม

“แต่ผมยังเชื่อจริงๆนะว่า เวลาเรารักใคร เราสามารถจะก้าวข้ามกฎเกณฑ์อะไรต่อมิอะไรไปได้จริงๆ”



* จากนวนิยายเรื่อง The God of Small Things โดย Arundhati Roy


31.10.53

เจตนา

ชายหนุ่มทิ้งตัวนั่งลงตรงหน้าฉันด้วยท่าทางเหนื่อยหน่าย เอนหลังพิงพนัก หลับตานิ่ง ก่อนจะเอ่ยปากขึ้นมาสั้นๆ

“คุณ”

ฉันเงยหน้า ละมือจากคอมพิวเตอร์ เหลียวไปมอง ตาสวยคู่นั้นยังคงปิดสนิท

“คะ?”

“เย็นนี้ไปลอยกระทงกันไหม?”

“อะไรนะคะ?”

เขาพูดทั้งๆ ที่ตายังปิดอยู่

“ลอยกระทง ผมอยากไปลอยกระทง ไปด้วยกันไหม?”

ฉันหัวเราะ

“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”

“คุณไม่ได้ลอยกระทงมานานเท่าไรแล้ว” เหมือนจงใจเลี่ยงคำตอบ เขาเปิดเปลือกตา ชะโงกตัวมาเท้าแขนสองข้างลงบนโต๊ะ คราวนี้ฉันเห็นแววอ่อนล้าในดวงตาคู่นั้นอย่างชัดเจน

ฉันนิ่งแทนคำตอบ

“ไม่ตอบ ผมถือว่าคุณตกลงนะ”

“อ้าว คุณ” ฉันร้อง “นี่เรากำลังพูดเรื่องเดียวกันหรือเปล่าคะ”

แม้สีหน้าจะมีรอยยิ้มขำ แต่ประกายตากลับดูอ่อนแรงกว่าทุกที

“ผมตั้งใจชวนคุณ ถ้าคุณนิ่งและไม่ปฎิเสธ ผมจะถือว่าคุณตอบรับ”

หลังจบประโยค เขาเอนตัวกลับไปในท่ากอดอกหลังพิงพนักอย่างเดิม อาการแบบนี้ทำให้ฉันต้องหมุนเก้าอี้กลับมามองหน้าเขาอีกครั้งอย่างตั้งใจ ชายหนุ่มยังอยู่ในท่ากอดอก ขยับศีรษะขึ้นมองฉันเพียงเล็กน้อย อากาศในห้องสี่เหลี่ยมเย็นสบาย เวลาเพิ่งจะล่วงพ้นบ่ายมาไม่นาน แต่ใบหน้าที่อยู่หลังกรอบแว่นสีทองกลับดูเหนื่อยล้าและไม่สดชื่นร่าเริงเท่าที่ควร

ในเมื่อสถานการณ์เป็นอย่างนี้...

...ฉันนิ่งคิด... ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยปาก

“ตามกฎหมาย คุณคงรู้ว่าโดยปกติการนิ่งไม่ถือเป็นการแสดงเจตนา”

ฉันลากนิ้วไปเล่นตามแผ่นกระดาษบนโต๊ะ ขณะที่เขายังชะงักในท่าเดิม

“การแสดงเจตนาที่จะถือว่ามีผลผูกพันผู้แสดงเจตนาตามกฎหมาย ต้องเป็นการแสดงเจตนาโดยแจ้งชัดหรือโดยปริยาย เช่น ถ้าฉันจะไป ฉันต้องตอบตกลงกับคุณอย่างชัดเจน หรืออาจต้องแสดงออกให้คุณเห็นด้วยวิธีอื่น เช่น พอคุณชวนปุ๊บ ฉันก็คว้าเข็ม ด้าย ใบตองขึ้นมาปั๊บ ตั้งหน้าตั้งตาเย็บกระทงแล้วเย็นนี้ก็เอาไปส่งให้คุณที่โต๊ะ...”

เขามองฉันตาค้าง

“...อย่างนี้ต่างหาก จึงจะถือว่าฉันตอบตกลง และการแสดงเจตนานั้นจึงจะมีผลผูกพัน แค่ฉันมองคุณนิ่งๆ แบบนี้ จะถือว่าฉันมีเจตนาตอบตกลงคงไม่ได้”

วินาทีนั้นเขาสวนกลับมาทันควัน

“งั้นหรือ? ผมนึกว่ากฎหมายยังมีข้อยกเว้นไว้เสียอีก”

เขาผุดลุกขึ้นนั่ง

“ในบางกรณีที่มีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นการเฉพาะ หรือตามปกติประเพณีการนิ่งถือเป็นการแสดงเจตนา การนิ่งนั้นก็จะมีผลเป็นการแสดงเจตนาได้ตามกฎหมาย เช่น การสั่งอาหาร แม่ค้าอาจจะเฉยๆ ไม่แสดงเจตนาว่าตกลงจะทำอาหารให้ แต่ตามปกติประเพณีเราถือว่า การนิ่งเฉยของแม่ค้า ถือเป็นการแสดงเจตนาตกลงทำอาหารให้ตามที่สั่งแล้ว ดังนั้น การนิ่งของแม่ค้า จึงเท่ากับเป็นการตอบตกลง”

“ฉันไม่ใช่แม่ค้า”

“แต่ผมว่า การลอยกระทงก็เป็นงานประเพณีอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นการชวนใครสักคนไปลอยกระทง แล้วเขาไม่ปฎิเสธ ผมก็เชื่อว่าตามปกติประเพณี เราน่าจะถือว่าเขาตอบตกลงได้”

“หรือคะ ถ้าอย่างนั้นฉันขอปฏิเสธ”

เขาชะงัก คิ้วขมวด

“ทำไม?”

ฉันตอบเสียงเรียบ

“วันนี้คุณเหนื่อยมากแล้ว ควรรีบกลับไปพักผ่อน”

“ฉันอยากให้เย็นนี้เรากินข้าวเย็นด้วยกัน แล้วคุณกลับบ้าน หรือถ้าขับรถไม่ไหว ฉันจะขับไปส่ง ตกลงไหมคะ?”

5.9.53

ผู้ทรงสิทธิ

ฉันเงยหน้าขึ้นมองไรผมชื้นเหงื่อที่กำลังสาละวนเก็บกวาดสารพัดอุปกรณ์ที่เกะกะกระจัดกระจายอยู่หน้าบ้าน

ชายหนุ่มในชุดเสื้อยืดคอกลมสีขาวสภาพคล้ายจะถูกใช้งานมานานปี กับกางเกงขาสั้นแค่เข่า รองเท้าแตะหลวมโพรก ช่างดูขัดกับภาพความเป็นจริงที่เคยเห็นจนชินตา

“ให้ตายเถอะ” เขาสะบัดแขนขึ้นปาดเหงื่อ


“จริงๆ นะ ผมนึกไม่ถึงเลยว่าจะต้องมาทำอะไรแบบนี้ ”


“ นานๆที” ฉันว่า “คุณนี่ขี้บ่นจัง”


“ถ้าลีโอไม่ซนเอาเรื่อง ผมคงไม่ต้องลงทุนทำรั้วใหม่” น้ำเสียงอ่อนใจ


“ทำแล้วจะเอาอยู่หรือเปล่ายังไม่รู้ ทั้งรั้ว ทั้งบ้านหมา ทั้งหมดนี่เพื่อมันโดยเฉพาะ”


ชายหนุ่มปาดมือเข้ากับกางเกง เดินมาทางฉันที่กำลังนั่งจิบน้ำเย็นไม่รู้ไม่ชี้อยู่ที่โต๊ะตัวเล็กหน้าบ้าน


“คุณว่าลีโอจะชอบไหม?”


“รั้ว หรือ บ้านคะ?” ฉันพลิกกระดาษตรงหน้า


ชายหนุ่มยักไหล่


“ฉันว่าลีโอคงไม่ชอบถูกจำกัดอิสรภาพในรั้วที่สูงขึ้น แต่บ้านก็ดูน่ารักดี เขาอาจจะชอบก็ได้”


“อดีตเจ้าพ่อคุมซอยอย่างเจ้านั่น ตอนนี้กำลังจะมีสมบัติเป็นของตัวเอง ผมอยากให้เขามีบ้าน มีอาณาบริเวณที่เป็นของเขา ให้รู้ว่านี่คือบ้าน จะได้ไม่ต้องไปเที่ยวเร่ร่อนอยู่ตามถนนอีก ทั้งบ้านทั้งรั้วที่ผมทำนี่ ของเขาทั้งหมดนั่นละ”


ฉันหัวเราะ “อ้าว หรือคะ นึกว่าของคุณเสียอีก”


“หือ?”


“คุณลืมแล้วหรือ สุนัขไม่สามารถเป็นผู้ทรงสิทธิได้ตามกฎหมาย”


“เอาแล้วไง” ถึงทีเขาหัวเราะบ้าง “ใช่ ถูกของคุณ...”


“...ผู้ทรงสิทธิ หรือผู้ถือสิทธิ ตามกฎหมายหมายถึงผู้ที่เป็นเจ้าของสิทธิ และสามารถใช้สิทธิใดๆ ได้ตามที่ต้องการ ซึ่งผู้ที่จะเป็นเจ้าของสิทธิ หรือผู้ทรงสิทธิที่ว่านี้ จะต้องเป็น “บุคคล” เท่านั้น สัตว์ ทรัพย์ หรือสิ่งของไม่สามารถเป็นผู้ทรงสิทธิ”


“ตัวอย่างเช่น เราไม่สามารถทำพินัยกรรมยกทรัพย์สมบัติให้แมว สุนัข หรือสัตว์เลี้ยงอะไรก็ตามที่เรารักได้ เพราะสัตว์เหล่านี้ไม่สามารถใช้สิทธิเหนือทรัพย์ แม้พินัยกรรมจะทำขึ้นอย่างถูกต้องตามกฎหมายทุกประการก็ตาม แต่ถ้าเกิดจะทำพินัยกรรมยกสมบัติให้ใครสักคน โดยมีข้อตกลงว่าต้องเลี้ยงดูสัตว์ของเราให้ด้วยละก็ แบบนั้นทำได้”


เขายิ้ม


“สรุปคือ... ผู้ทรงสิทธิ ต้องมีสถานะเป็นบุคคลเท่านั้น จะเป็นบุคคลธรรมดา หรือนิติบุคคลก็ได้ ส่วนหมา แมว นก งู กระรอก กระต่าย ช้าง ม้า วัว ควาย อะไรต่างๆ เหล่านี้จะเป็นผู้ทรงสิทธิไม่ได้”


“ผมเข้าใจถูกไหม?”


ฉันไม่ตอบ


“เป็นอันว่า รั้วกับบ้านหมานี่ ไม่ใช่ของลีโอ แต่เป็นของผม เพราะลีโอเป็นสุนัข จึงไม่สามารถเป็นผู้ทรงสิทธิเหนือทรัพย์...”


ท่าทางเขาเริ่มสนุกที่จะต่อปากต่อคำ


“ไม่รู้ละ” ฉันเปลี่ยนเรื่อง “ถ้าฉันเป็นลีโอ กลับมาเห็นรั้วสูงท่วมหัวแบบนี้ คงแทบร้องไห้”


เขาหัวเราะหึหึ


“จะไปเป็นลีโอทำไม เป็นคุณแบบนี้ดีอยู่แล้ว ไหนๆ ของพวกนี้เป็นของผม แล้วเราก็สนิทกัน นี่ผมกำลังคิดอยู่เชียวว่า ถ้าเป็นอะไรไป ผมจะทำพินัยกรรมยกสมบัติทั้งหมดให้คุณ”


ฉันหันขวับ ทันได้เห็นใบหน้าเปื้อนเหงื่อที่ยังคงมีรอยยิ้มจางๆ


“แล้วถ้าถึงวันนั้นขึ้นมาจริงๆ ผมฝากคุณช่วยดูแลลีโอแทนผมทีได้ไหม”

บุคคลสิทธิ-ทรัพยสิทธิ


ใบหน้าระบายยิ้มของคนที่เพิ่งจะนั่งลงเมื่อสักครู่ ตอนนี้เริ่มเปลี่ยนเป็นหน้านิ่วคิ้วขมวด ใช้สองนิ้วคีบปากแก้วหมุนเล่นอย่างไม่รู้จะทำอะไรดีไปกว่านั้น


“ผมขอโทษจริงๆ”


“ไม่เป็นไรค่ะ ” คำตอบเบา ตายังจ้องอยู่ที่จอคอมพิวเตอร์ สองมือวางบนคีย์บอร์ด แต่ฉันกลับไม่รู้จะพิมพ์อะไรลงไปดี


“ผมผิดนัดคุณบ่อยขนาดนั้นเลยหรือ?”


“ไม่มากเท่าไรหรอก แค่ทุกครั้งที่คุณไม่ว่าง แค่นั้น”


“นี่เป็นครั้งแรกที่คุณโกรธผม”


“ไม่ได้โกรธค่ะ แค่พยายามใช้สิทธิเรียกร้อง ซึ่งฉันคิดว่าน่าจะพอมีอยู่บ้าง แค่นั้นเอง”


ฉันถอนหายใจ คนตรงหน้าคล้ายเริ่มจะยิ้มออกอีกครั้ง มือเรียวสวยยื่นมาแตะหลังมือฉันเบาๆ แล้วก็เหมือนเพิ่งนึกได้ รีบดึงมือกลับไปไว้ในท่ากอดอก เอนหลังพิงพนัก หัวเราะหึหึ แววตาขบขันครุ่นคิดคล้ายกำลังพยายามหาทางจะเอาชนะ


ฉันนิ่ง พยายามคิดถึงสิทธิเรียกร้องที่ตนเองน่าจะมี ในฐานะเพื่อนสนิทคนพิเศษของคนช่างเย็นชา...


“สิทธิเรียกร้อง” ตามกฎหมายมีความหมายเช่นเดียวกับ “บุคคลสิทธิ” บุคคลสิทธิหรือสิทธิทางหนี้ ในทางกฎหมาย หมายความถึง “สิทธิที่มีอยู่เหนือบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ในการที่จะบังคับให้บุคคลนั้นกระทำการหรืองดเว้นกระทำการตามประสงค์ของผู้ทรงสิทธิ”


ลักษณะพิเศษของบุคคลสิทธิคือ เป็นสิทธิที่เจ้าของสิทธิสามารถเรียกร้องเอาได้เพียงแต่จาก “บุคคล” โดยเฉพาะเจาะจง ซึ่งเป็นลูกหนี้ของตนอยู่ในเวลาที่เกิดสิทธิอยู่เท่านั้น บุคคลในฐานะผู้ทรงสิทธิไม่สามารถไปเรียกร้องเอาจากบุคคลอื่นซึ่งไม่ใช่ลูกหนี้ของตนได้ บ่อเกิดของบุคคลสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มีหลายประการ เช่น นิติกรรมสัญญา ละเมิด จัดการงานนอกสั่ง ลาภมิควรได้ ฯลฯ


“บุคคลสิทธิ” กับ “ทรัพยสิทธิ” ยังมีความแตกต่างกันหลายประการ...


...อะไรก็ช่าง... เอาเป็นว่า ตอนนี้ฉันต้องหาทางจัดการกับรอยยิ้มยั่วประสาทตรงหน้าให้ได้... ไม่ว่าจะด้วย “บุคคลสิทธิ” มีด ดาบ หอก พร้า ไม้หน้าสาม หรืออะไรก็แล้วแต่...


ในที่สุดเขาก็เปิดปาก...


“เอาละ ผมเข้าใจ... ในฐานะที่คุณเป็นเพื่อนพิเศษ คุณอาจมีสิทธิโดยชอบธรรมที่จะเรียกร้องให้ผมปฏิบัติตามสัญญา ถึงแม้ว่าสิทธิที่ว่านี้กฎหมายจะไม่ได้บัญญัติรับรองไว้ก็ตาม...”


“คุณอย่าลืมว่า “สิทธิ หมายถึง ประโยชน์หรืออำนาจอันชอบธรรมที่กฎหมายรับรองหรือคุ้มครองให้” ดังนั้น กรณีนี้ เมื่อไม่มีกฎหมายบัญญัติให้สิทธิไว้ ผมอาจจะถือว่าคุณไม่มีสิทธิก็ได้...และเมื่อคุณไม่มีสิทธิมาตั้งแต่ต้น คุณก็ย่อมจะไม่สามารถยกเอาบุคคลสิทธิหรือสิทธิเรียกร้องใดๆ มาอ้างกับผมได้เลย นั่นแปลว่า...ผมมีสิทธิโดยชอบธรรมทุกประการที่จะปฏิเสธคุณ”


....เงียบสนิท...ไม่มีคำตอบ...


“แต่ผมไม่ใจร้ายขนาดนั้น”


“อาศัยจารีตประเพณี และเพื่อเป็นการรักษาความสงบเรียบร้อย...และศีลธรรมอันดีของประชาชน...”


...น้ำเสียงคล้ายจะสำลักหัวเราะ...


“...ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 4 วรรคสอง ผมเห็นว่า ในฐานะที่ผมได้สัญญากับคุณไว้ ผมมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามสัญญา และสัญญานั้นก็ย่อมก่อให้เกิดสิทธิแก่คุณที่จะบังคับเอากับผม...”


“...เมื่อในที่สุด ผมไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญา คุณในฐานะผู้ทรงสิทธิก็ย่อมมีสิทธิบอกเลิกสัญญาและเรียกร้องค่าเสียหายจากผมได้”


“เพราะรู้อย่างนี้ วันนี้ผมจึงเตรียมค่าเสียหายมาให้คุณ”


มือเรียวสวยหยิบถุงกระดาษใบเล็กออกวางลงบนโต๊ะด้วยท่าทางขัดๆ อย่างที่ไม่นึกมาก่อนว่าคนช่างเย็นชาจะทำได้


ฉันเอื้อมมือออกไปรับค่าเสียหายที่ว่าอย่างไม่ค่อยจะเต็มใจนัก ค่อยๆ แง้มออกดู ...โธ่เอ๋ย ...เอาตุ๊กตาหมีไปหลอกเด็กเถอะ!


“จะบอกอะไรให้นะคุณ ความเสียหายของฉันน่ะ เป็นความเสียหายทางจิตใจ ซึ่งปัจจุบันกฎหมายไทยยังไม่ยอมรับ ดังนั้น คุณไม่จำเป็นต้องเอาอะไรมาให้ฉันก็ได้”


“ก็แล้วแต่คุณ” เขาว่า


“ตอนนี้ของอยู่ในมือคุณแล้ว คุณได้ทรัพย์นี้ไปจากผมโดยชอบธรรม ดังนั้นคุณจึงมีกรรมสิทธิ หรืออีกนัยหนึ่งคือ “ทรัพยสิทธิ” เหนือทรัพย์นั้น คุณจะทำอย่างไรกับมันก็ได้”


“ทรัพยสิทธิ” ตามกฎหมาย หมายถึงสิทธิที่บุคคลหนึ่งมีอยู่เหนือทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์ที่มีรูปร่างหรือไม่มีรูปร่าง ทรัพยสิทธิจัดเป็นสิทธิเด็ดขาดที่บุคคลผู้เป็นเจ้าของสิทธิสามารถใช้กล่าวอ้างหรือต่อสู้บุคคลได้ทั่วไป โดยไม่จำกัดเฉพาะระหว่างบุคคลที่มีมูลหนี้ต่อกันเท่านั้น บุคคลผู้เป็นเจ้าของทรัพยสิทธิ คือบุคคลที่มีอำนาจเหนือทรัพย์ และสามารถใช้สิทธิเหนือทรัพย์นั้นอย่างไรก็ได้ได้ตามความประสงค์ แต่ทั้งนี้ ต้องไม่เป็นการรบกวนหรือกระทบสิทธิของบุคคลอื่น


ฉันนิ่งคิด


“ได้เลยค่ะ ตกลงตามนี้”


“ฉันจะรับไว้ แล้วถ้าคราวหน้าคุณผิดนัดฉันอีก ฉันจะเอาตุ๊กตานี่มาคืนให้คุณ”