16.3.55

สุรากาแฟ

เขาสั่งกาแฟปั่นรสมินต์…

จานกระเบื้องตรงหน้าเรามีชีสเค้กคาราเมลหนึ่งชิ้น ส่วนของฉันเป็นน้ำส้มปั่นในแก้วพลาสติกใส ด้านบนมีฝาปิดทรงโค้ง ข้างแก้วมีสัญลักษณ์อันเป็นสีประจำของร้านที่ถูกออกแบบมาให้จดจำได้ทันทีแม้มองเห็นจากระยะไกล

เสื้อเชิ้ตสีเข้มขับผิวขาวจัดให้ดูสว่างแม้จะเป็นเวลาค่ำในร้านกาแฟซึ่งมีผู้คนหนาแน่นและแสงสว่างน้อย

ระหว่างที่เขากำลังให้ความสนใจกับแผ่นพับโฆษณา แก้วกาแฟ และเมนูของว่าง ฉันจับตาดูมือสวยหยิบจับข้าวของต่างๆ บนโต๊ะอย่างคล่องแคล่ว

“คุณชอบดื่มกาแฟรสมินต์หรือ?” ที่สุดจึงเอ่ยถามขึ้นก่อน

“ก็ไม่เชิง” เขาตอบ หันมายิ้ม “ผมชอบมินต์ กลิ่นมันหอมเย็นดี”

“ไม่น่าเชื่อนะคะ ว่ามินต์กับกาแฟจะเข้ากันได้” ฉันว่า ส่งกระดาษทิชชูให้เขาเช็ดมือ

เขารับกระดาษมาและพยักหน้า “สองอย่างนี้สกัดจากต้นไม้เหมือนกัน ต่างแค่สายพันธุ์และสถานที่”

“คุณรู้ไหม มินต์มีต้นกำเนิดจากประเทศไหน?”

ฉันหัวเราะกับคำถามลองภูมิ “ไม่ทราบค่ะ”

“ฉันรู้แต่ว่ากาแฟมีต้นกำเนิดจากประเทศแถบอาหรับ ก่อนจะแพร่เข้าสู่ยุโรปและอเมริกาประมาณศตวรรษที่ 17-18”

“แค่นี้ก็มากพอแล้ว” เขาว่า อมยิ้ม

“ส่วนมินต์มีต้นกำเนิดในยุโรป แต่จะศตวรรษไหนไม่รู้แฮะ” ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ กับตัวเอง

“ที่แน่ๆ มินต์มีคุณสมบัติเป็นยา คุณรู้ไหม”

“เคยได้ยินค่ะ” ฉันจิบน้ำส้ม แต่แล้วก็ต้องทำหน้าเบ้ ก่อนจะพูดต่อ “กาแฟก็เหมือนกัน”

“ไม่อร่อยหรือ?” ใบหน้าใต้กรอบแว่นทำท่าสงสัย

“หวานไปหน่อย” ฉันตอบ เขย่าแก้วเพื่อให้น้ำแข็งละลาย “ลืมบอกไปว่าไม่หวาน”

ชายหนุ่มส่งแก้วกาแฟในมือให้ แววตาเป็นประกายสนุก

“เอ้า ลองชิมกาแฟดู เผื่อจะแก้โรคหวานจัดได้”

ฉันหัวเราะกับอาการล้อเล่นของเขา ไม่บอกก็รู้ว่าวันนี้คนตรงหน้าคงกำลังอารมณ์ดี สังเกตจากกิริยาที่ร่าเริงและผ่อนคลาย แม้จะเพิ่งเสร็จจากการประชุมมาราธอนมาหมาดๆ

เขายังชวนคุยต่อ

"ไม่ใช่แค่กาแฟอย่างเดียวนะที่เป็นยา เครื่องดื่มอย่างอื่นก็เป็นยาได้”

“ไวน์หรือคะ?” ฉันไม่แน่ใจ

“เปล่า”

“หือ?”

“เหล้าขาวต่างหาก” เขาหัวเราะเสียงดัง

มือสวยขยับเลื่อนจานของว่างเข้ามาใกล้ ช่วงหัวค่ำหลังเลิกงานในร้านกาแฟมีผู้คนค่อนข้างบางตา กลุ่มใหญ่ที่สุดดูคล้ายนักศึกษาปริญญาโทมาใช้พื้นที่สำหรับถกเถียงปัญหาอย่างเอาจริงเอาจัง อีกสองสามโต๊ะที่เหลือน่าจะเป็นกลุ่มเพื่อนร่วมงานที่แวะมาหาที่พูดคุยรอเวลาถนนว่าง

...เหมือนฉันกับเขา

ชายหนุ่มตักเค้กเข้าปากหนึ่งชิ้น ไม่ได้ทำหน้าเหยเกอย่างที่ฉันนึกเดาไว้แต่แรกว่าผู้ชายอย่างเขาไม่น่าจะชอบขนมหวาน

“พูดถึงเหล้าขาว ผมบังเอิญไปเจอคำถามมา เอามาถามคุณเล่นๆ ดีกว่า”

“ยังไงคะ?”

“สมมติในช่วง ‘งดเหล้า เข้าพรรษา’ มีร้านค้าแห่งหนึ่งปฏิบัติตามนโยบายรัฐอย่างเคร่งครัด โดยการไม่ขายสุราให้กับลูกค้าทุกเพศทุกวัยจนกว่าจะออกพรรษา”

“บ่ายวันหนึ่ง นาย ก. นาย ข. นาย ค. สามขี้เมาประจำซอย เดินเข้าไปในร้านบอกขอซื้อสุรา นาง ง.เจ้าของร้านไม่ยอมขาย ทั้งสามคนจึงพูดว่า ‘ไม่ขายก็จะรินกินเอง’ ว่าแล้วก็พากันเดินไปหยิบสุราในร้านขึ้นมาขวดหนึ่ง เปิดฝาออก ขณะกำลังยกขวดแบ่งกันดื่ม นาง ง. เจ้าของร้านจะเข้าขัดขวาง แต่เมื่อเห็นนาย ก. ซึ่งเป็นอดีตนักมวยเก่ายืนท้าวสะเอวมองหน้า นาง ง. เกิดความกลัวจะถูกทำร้ายจึงไม่กล้าเข้าไปห้าม ทั้งสามคนดื่มสุราจนพอใจจึงเดินออกจากร้าน ทิ้งสุราที่ยังเหลือติดก้นขวดไว้ที่ร้าน”

“ถามว่า นาย ก. นาย ข. มีความผิดฐานใดหรือไม่ตามประมวลกฎหมายอาญา”

“โอ้โฮ” ฉันนิ่งคิดนาน “เรื่องผิดน่ะ ผิดแน่ แต่ผิดฐานไหนกันล่ะ”

“นั่นน่ะสิ” เขายิ้ม ระหว่างนั้นเรียกพนักงานในร้านเพื่อขอน้ำเปล่าเพิ่ม

“ขั้นแรกต้องผิดลักทรัพย์ก่อน เพราะเป็นการเอาไปซึ่งทรัพย์ของบุคคลอื่นโดยทุจริต ความผิดฐานลักทรัพย์สำเร็จแล้วตั้งแต่หยิบขวดเหล้ามาเปิดฝาออก และแบ่งกันดื่ม อันนี้แน่นอน” ฉันค่อยๆ คิดช้าๆ ทีละประโยค

เขาพยักหน้า

“ผิดลักทรัพย์ แต่ไม่ผิดชิงทรัพย์ เพราะไม่ได้ลักทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้าย”

“งั้นหรือ? ทำไมกรณีนี้จึงไม่ถือว่าใช้กำลังประทุษร้ายล่ะ”

ฉันนิ่งไปครู่หนึ่ง

“การใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย ต้องมีการแสดงออกโดยชัดเจน ไม่ว่าโดยวาจาหรือกิริยาท่าทาง กรณีนี้นาย ก. ซึ่งเป็นอดีตนักมวยเก่า เพียงแต่ยืนท้าวสะเอวมองหน้าเท่านั้น ไมได้ขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้าย เพียงแต่นาง ง. เกิดความกลัวไปเอง กรณีนี้จึงขาดองค์ประกอบความผิดฐานชิงทรัพย์”

“และเมื่อขาดองค์ประกอบความผิดฐานชิงทรัพย์ แม้กระทำร่วมกันสามคน ก็ไม่เป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์”

เขารับน้ำดื่มมาจากพนักงาน รินใส่แก้วให้ฉัน ก่อนจะถามต่อ

“เอาละ ตกลงคุณตอบว่า?”

“ทั้งสามคนมีความผิดฐานลักทรัพย์โดยร่วมกันกระทำตั้งแต่สองคนขึ้นไป แต่ไม่ผิดฐานชิงทรัพย์และปล้นทรัพย์”

คิ้วเข้มเลิกสูง หัวเราะหึหึ

“ถ้าอย่างนั้น ผิดฐานกรรโชกทรัพย์ หรือวิ่งราวทรัพย์ไหม?”

“อะไรนะ!”

“อ้าว ถ้าจะตอบก็ตอบให้ครบสิ” เค้กตรงหน้าถูกตัดแบ่งออกเป็นชิ้นเล็กๆ ด้วยฝีมือเขา

ทันใดนั้นฉันเริ่มรู้ตัวว่าพลาด

“งั้นคุณเฉลยเลยดีกว่า” ทำเสียงแข็ง

เขาหยุดจิบกาแฟนิดหนึ่ง แล้วจึงอธิบายต่อ “จะบอกให้ว่ากรณีนี้ไม่ผิดฐานกรรโชกทรัพย์”

“เพราะผู้กระทำได้ทรัพย์ไปแล้วตั้งแต่ต้น ความผิดฐานลักทรัพย์สำเร็จลงแล้วอย่างคุณว่า แต่เนื่องจากเป็นการลักทรัพย์โดยฉกฉวยเอาซึ่งหน้า...” ทันทีที่เขาหยุด ฉันรู้ตัวแล้วว่าตกหลุมพรางเข้าอย่างจัง

“ด้วยเหตุนี้ทั้งสามคนจึงมีความผิดฐานร่วมกันวิ่งราวทรัพย์ ไม่ใช่ลักทรัพย์”

“โอเค โอเค” ฉันเฉไฉดื่มน้ำส้มที่หวานจัดจนแสบคอเข้าไปอึกใหญ่จนเกือบสำลัก

“ร้านนี้ทำน้ำปั่นหวานจัง ไว้คราวหน้าเราย้ายร้านดีกว่า”

มือสวยยื่นมาดึงแก้วจากมือฉัน เอากลับไปวางที่โต๊ะ

“พอแล้ว ถ้าหวานเกินไปก็อย่ากิน เดี๋ยวเจ็บคอ” คราวนี้เขาเป็นฝ่ายส่งกระดาษทิชชูให้

“อีกอย่างนะ ผมว่า”

“ถึงย้ายร้านไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก ยังไงคุณก็ตอบผิดอยู่ดี”

ไม่มีความคิดเห็น: