10.3.55

ความมีหัวกฎหมาย

“ลักษณะความมีหัวกฎหมาย หรือ Legal Mind นั้นคืออย่างไร”

“ครูบาอาจารย์บอกว่า สอบไล่กฎหมายได้เป็นเนติบัณฑิตแล้วก็ตามเถอะ ยังไม่มีหัวกฎหมายหรอก ต้องคลุกคลีทำงานกับกฎหมายนานๆ จึงจะรู้สึก หรือถ้าเราทึบพอที่จะไม่รู้สึก ก็อาจจะไม่รู้สึกไปตลอดชีวิต และไม่มีวันมี Legal Mind ได้”
ฉันค่อยๆ อ่านช้าๆ

“ความมีหัวกฎหมายนั้น เป็นผลจากการรู้หลักกฎหมายโดยทั่วไปและรู้สึกแจ่มใสมั่นคง และความรู้แตกต่างอันประณีตของหลักหนึ่งๆ ใกล้เคียง และรู้ว่าหลักหลายหลักจะใช้ผสมกันได้เพียงใดหรือไม่ ครั้นแล้วรู้ว่าส่วนปลีกย่อยกลุ่มหนึ่งๆ นั้น จะใช้กับหลักไหนได้ถูกต้อง แล้วก็หยิบทั้งหลักทั้งส่วนปลีกย่อยออกมาใช้กับคดีเฉพาะหน้าได้โดยถูกต้อง ครบถ้วน และเป็นธรรม”

ฉันหยุด เขาเหลือบตามอง ฉันอ่านต่อ

“Legal Mind นี้คือการตีความ ตัวบทเขาว่าอย่างนี้ ถ้าเราเป็นผู้มีหัวกฎหมาย เราจะตีความถูกต้องว่าความประสงค์เป็นอย่างนี้ แล้วใช้ได้ถูกต้อง ถ้าเป็นคนที่ไม่มีหัวกฎหมาย จะเกิดสับสนว่า ตัวบทนี้หมายถึงอะไร ความมีหัวกฎหมาย หรือ Legal Mind นั้นเกิดยาก ต้องฝึกตนเองให้มีขึ้นมา คนที่มีจะต้องฉับพลันทันที คืออ่านปุ๊บ เข้าใจปั๊บ ใช้ได้ถูกต้อง เพราะฉะนั้นจึงเป็นสิ่งที่สอนกันไม่ได้ แต่ฝึกได้เอง”

ฉันปิดหนังสือ หันไปทางขวา ชายหนุ่มสวมแว่นตาในชุดเสื้อยืดสีขาวไม่มีลายกับกางเกงสั้นแค่เข่าสีน้ำตาลหันมามองอย่างสนอกสนใจ

“เป็นบทความที่เยี่ยมมาก” เขาว่า “คุณไปเอามาจากไหนน่ะ”

“หนังสือ ‘ความมีหัวกฎหมาย’” ฉันพลิกหนังสือเล่มบางในมือ “ศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ ท่านเขียนไว้ค่ะ”

“แล้วทีนี้คุณรู้หรือยัง?”

“รู้อะไร?” เขาทำหน้าฉงน

“เมื่อกี้ที่ฉันบอกคุณว่าฉันไม่มีหัวกฎหมายเนี่ย มันเป็นยังไง” ฉันปิดหนังสือวางลงกับโต๊ะ กอดอก เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ไม้หน้าบ้าน และพยักหน้าให้กับตัวเอง

“มันก็เป็นแบบที่ท่านอาจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ ว่าไว้นี่ละ”

“คนที่เห็นปัญหากฎหมายแล้วมองไม่ออก คิดไม่ทัน ตีความไม่ถูก ตอบปัญหาไม่ได้ จับประเด็นอะไรก็ผิดไปหมด แถมยังเอากฎหมายมาใช้ไม่ถูกกับเรื่องเนี่ย เขาเรียกพวกไม่มีหัวกฎหมาย...”ฉันหันไปทางเขา

“...หรืออีกนัยหนึ่ง พวก ‘บัวใต้น้ำ’”

ถอนใจเฮือก

เขาส่ายหน้า “แต่ผมไม่เห็นด้วย

“คุณพูดเกินไปที่ว่าคุณไม่มีหัวกฎหมาย” ชายหนุ่มขยับเลื่อนเก้าอี้ออกห่างโต๊ะ เหยียดขาในท่าสบาย

“ถ้าคุณไม่มีหัวกฎหมายจริง คุณคงไม่อยู่ที่นี่มาจนป่านนี้”

“ฉันมันแค่พอทำได้ แต่ไม่ได้เก่ง สู้คุณหรือคนอื่นๆ ไม่ได้ด้วยซ้ำ ขนาดฉันเข้ามาทำงานก่อนคุณแท้ๆ คุณน่ะก้าวพรวดๆ ส่วนฉันกลับไปไม่ถึงไหน” ฉันถอนหายใจหนักหน่วง

“ฉันนี่มันไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ”

ชายหนุ่มขยับลุกขึ้นนั่งตัวตรงอย่างตั้งใจ

“เอาละ ถ้าคุณว่าคุณไม่มีหัวกฎหมาย ไหนตอบปัญหากฎหมายผมสักข้อซิ”

“พนันกันเลยว่าฉันต้องตอบไม่ได้” ฉันมั่นใจ “ไหนว่ามาสิคะ”

“นาย ก. ยืม น้ำมันนาย ข.ไป ห้าลิตร สัญญาว่าอีกหนึ่งสัปดาห์จะเอามาใช้คืน ปรากฏว่าเมื่อถึงเวลา นาย ข. ไปทวงน้ำมัน นาย ก. กลับบอกว่าเอาน้ำมันทั้งห้าลิตรไปขายหมดแล้ว ดังนี้ ถามว่านาย ก. จะมีความผิดอาญาฐานใดหรือไม่?”

“ไม่ผิด” ฉันตอบ “เป็นกรณียืมใช้สิ้นเปลือง กรรมสิทธิ์ในน้ำมันทั้งห้าลิตรโอนไปยังนาย ก. แล้ว ตั้งแต่เมื่อส่งมอบน้ำมัน เมื่อนาย ก. นำน้ำมันทั้งห้าลิตรไปขาย จึงไม่เป็นความผิดอาญาฐานลักทรัพย์ หรือยักยอกทรัพย์ของนาย ข.”

“ปั้ดโธ่ แต่ข้อนี้มันง่ายนี่... คุณเล่นถามแบบนี้ ใครก็ตอบได้” ฉันโวยวาย

“งั้นเอาใหม่” เขาอมยิ้ม ขยับตัวลุกนั่งใหม่ในท่าที่สบายขึ้น “โจทย์ข้อนี้มีนาย ก. นาย ข. นาย ค. นาย ง. และนาย จ.”

“ห๊า?” ฉันร้อง เขาหัวเราะเสียงดัง

“ทั้งห้าคนนั่งดื่มสุราด้วยกัน นาย ก. เกิดทะเลาะวิวาทกับนาย จ. นาย ก. ลุกขึ้นคว้าปืนขึ้นเล็งไปทางนาย จ. กำลังจะยิง นาย ข. ซึ่งนั่งอยู่ใกล้ได้แย่งปืนมา แล้วส่งให้ นาย ค.เก็บไว้ โดยไม่รู้ว่านาย ค. ก็เคยมีเรื่องบาดหมางกับนาย จ. มาก่อน และต้องการจะฆ่านาย จ. เหมือนกัน เมื่อนาย ค. ได้ปืนมา ได้ส่งปืนกระบอกนั้นต่อให้นาย ง. ทันที และร้องสั่งให้นาย ง. ยิงนาย จ. ปรากฏว่านาย ง. ซึ่งเป็นคนบ้าจี้ได้ยินเสียงนาย ค. ตะโกน ก็ตกใจ เลยทำปืนลั่นใส่นาย จ. เสียชีวิต”

“ถามว่า นาย ก. นาย ข. นาย ค. และนาย ง. ต้องรับผิดอาญาฐานใดหรือไม่”

“คุณนี่ตั้งโจทย์อย่างกับการ์ตูนแอนิเมชั่น “ ฉันบ่น “มีส่งปืนต่อเป็นทอดๆ ด้วย...”

“ตกลงคุณจะตอบไหม”

ฉันค้อนขวับ

“เอาละ นาย ก. ผิดฐานพยายามฆ่านาย จ. เพราะได้ลงมือแล้วแต่กระทำไปไม่ตลอด นาย ข. ไม่มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนให้นาย ค. ฆ่านาย จ. เนื่องจากนาย ข. ขาดเจตนา”

“ส่วนนาย ค. เป็นผู้กระทำผิดโดยอ้อม ฐานฆ่านาย จ. ตายโดยเจตนา ถือเป็นการกระทำด้วยตนเอง ไม่ผิดฐานเป็นผู้ใช้ เพราะนาย ง. ซึ่งได้กระทำความผิดลงไปนั้นเป็นผู้ไม่รู้ผิดชอบในขณะกระทำผิด หรืออีกนัยหนึ่ง คือนาย ง. ขาดเจตนา เพราะฉะนั้น นาย ง. จึงไม่มีความผิด”

“ส่วนนาย จ. ตายไปแล้ว...คุณจะให้ฉันทำยังไง?”

เขาระเบิดหัวเราะเสียงลั่น “นั่นไง เห็นไหม คุณออกจะมีหัวกฎหมาย แถมยังมีพรสวรรค์ในทางยียวนกวนประสาทอีกต่างหาก”

มือเรียวสวยเอื้อมมาแตะหลังมือฉันแผ่วเบา “เลิกกังวลได้แล้วนะ”

“ไม่รู้ซีคะ” ฉันดึงมือออกอย่างนุ่มนวล ก่อนถอนหายใจอีกครั้ง “ฉันว่าจริงๆ แล้วคุณก็รู้ว่าฉันหมายความว่ายังไง...”

“ผมรู้...” เขายิ้ม “แต่ผมว่าคุณแค่ท้อและกังวลกับภาระงานที่หนักและยากเกินไปมากกว่า ถึงอย่างไรผมก็เชื่อว่าคุณเข้มแข็งพอที่จะผ่านมันไปได้”

“ตรงกันข้าม ฉันกลับรู้สึกว่า ตอนนี้ฉันไม่เข้มแข็งพอที่จะผ่านอะไรทั้งนั้น” ฉันรู้สึกว่าตัวเองกำลังเสียงสั่น

“เด็กดื้อ” เขาลุกขึ้น เดินอ้อมมายืนด้านหลัง ฉันสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นของสองมือที่วางบนไหล่

“รู้ไว้นะ ผมเชื่อเสมอว่าคุณทำได้”

“เพราะถ้าผมไม่เชื่อ ผมคงไม่มานั่งอยู่ตรงนี้กับคุณ”

ไม่มีความคิดเห็น: